Showing posts with label NEWS. Show all posts
Showing posts with label NEWS. Show all posts

Wednesday, November 27, 2013

การประเมิณสถาณการณ์ทางการเมืองกับการลงทุน

ประเมิณสถาณการณ์ทางการเมือง

กับการลงทุน


- ทรีนีตี้ประเมินว่าความเป็นไปได้ของการยุบสภามีมากขึ้น โดยในกรณีฐานคาดว่ารัฐบาลจะประกาศยุบสภาในช่วงต้นเดือนธันวาคมหลังจากวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่สมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่จะได้สิทธิ์ทางการเมืองกลับมา ซึ่งน่าจะทำให้ความอึมครึมของวิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้คลี่คลายลงไปได้บ้าง
- อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงสูงสุดที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่การพิจารณาไต่สวนของปปช.เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขที่มาของส.ว. การใช้บัตรเสียบแทนกันเพื่อลงคะแนนเสียง รวมถึงการถอดถอนประธานสภาผู้แทนฯและประธานวุฒิสภา โดยเรามองว่ากรณีที่น่าจะมีความเป็นไปได้สูงสุดได้แก่การที่ปปช.ชี้มูลความผิดแก่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์และนายนิคม ไวยรัชพานิช ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯและประธานวุฒิสภาเท่านั้น โดยมีกรณีเลวร้ายที่สุดได้แก่การพิจารณาให้ประธานสภาและสมาชิก 312 คนรวมทั้งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีก
- เรามองว่าระดับ Valuation ปัจจุบันนั้นมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนแล้ว โดยล่าสุด Forward PE ของ SET Index อยู่ที่ระดับ 12 เท่า ซึ่งอยู่ในช่วง Valuation ที่มักจะให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนดีที่สุด (11.2 – 12.2 เท่า) นอกจากนั้นการปรับตัวลงมาของ SET Index จึงทำให้ Valuation gap ระหว่าง SET Index กับดัชนี MSCI World มีความน่าสนใจขึ้นอย่างมาก โดยล่าสุด Forward PE ของ SET Index อยู่เพียงระดับ 0.84 เท่าของ MSCI World ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 และเป็นระดับที่เข้าใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 0.83
- กลยุทธ์การลงทุน: มอง SET Index มีโอกาสปรับตัว Bottom out ในช่วงสัปดาห์นี้หลังจากคาดการณ์มีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่รัฐบาลจะประกาศยุบสภาในช่วงต้นเดือนธันวาคมบวกกับเม็ดเงิน LTF/RMF ที่เตรียมไหลเข้า โดยต้องติดตามประเด็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดได้แก่การพิจารณาคดีของปปช.ซึ่งอาจรู้ผลในสัปดาห์นี้ แนะนำถือหุ้นจากการเข้าซื้อเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน โดยมองเป้าหมายหุ้นของการดีดกลับในช่วงถัดไปได้แก่หุ้นใน SET100 ที่น่าจะเป็นเป้าหมายของของเม็ดเงิน LTF/RMF ซึ่งได้แก่ SCC, IVL, PTTGC, ADVANC, INTUCH, THCOM, BBL, SCB, KBANK, CPF, CPALL, TUF ส่วนในระยะสั้นแนะนำสะสมหุ้นตามธีม MSCI ซึ่งได้แก่ BTS และ TMB ซึ่งกำลังเข้าสู่วันบังคับใช้จริงในช่วงเย็นวันพรุ่งนี้
Valuation gap ล่าสุดระหว่าง SET Index กับดัชนี MSCI World

Source: Trinity Research

Read more »

Tuesday, November 5, 2013

การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น



การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น

ตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นยังคงถูกกดดัน

จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนฉ่า

บรรยากาศความไม่แน่นอนปกคลุมตลาดหุ้น วอลุ่มเทรดหด ตลาดหุ้นไทยเริ่มให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง กลุ่มนี้จึงลดความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอช้อนซื้อของถูกเมื่อตลาดปรับตัวลงลึก
อีกกลุ่มหนึ่งแม้ไม่แน่ใจในสถานการณ์การเมือง แต่เล็งเห็นว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แม้การฟื้นตัวจะเชื่องช้า แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า จะกระเตื้องขึ้นในปีหน้า ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง สัดส่วนมาร์เกตแคปของหุ้นที่อิงการบริโภคเติบใหญ่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สวนทางกับของหุ้นโภคภัณฑ์ กำไรของหุ้นอิงการบริโภคมีแนวโน้มเติบโตมั่นคง ขณะที่ของหุ้นโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง กำไรของตลาดในภาพรวมจึงลดความผันผวนลง
อย่างไรก็ดี Valuation หุ้นไทยยังไม่อยู่ในขั้น “ถูกจัด” กลุ่มนี้จึงใช้กลยุทธ์ รอตั้งรับเมื่อราคาหุ้นย่อตัว เนื่องจากยังหวั่นไหวต่อสถานการมีเพียงกลุ่มน้อยนิดที่มองสวนตลาด กลุ่มนี้ประเมินว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง จึงเริ่มทยอยเข้าซื้อ
จะเห็นได้ว่า พวกที่อยากขายก็ได้ทยอยขายไปแล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง “รอเก็บของถูก” ที่ดัชนีต่ำกว่า 1400 จุด บ้างก็ว่า จะรอลึกถึง 1350 จุด ก็มี คำถามคือ ถ้าหุ้นไม่ลงล่ะ จะยอมขยับราคาซื้อขึ้นมามากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ดี ช่วงสั้น ดัชนีหุ้นคงไปได้ไม่ไกล แรงขายจะมีออกมาเป็นระยะ เนื่องจากตลาดหุ้นยังเผชิญวิบากกรรมอันเป็นผลพวงจากความขัดแย้งในสังคมไทยต่อไป
แม้จะมีความเสี่ยงทางการเมือง แต่ไม่ควรกังวลจนลืมดูปัจจัยพื้นฐานและมูลค่าของกิจการ ในบางขณะ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจวิตกมากเกินเหตุ จนราคาหุ้นตกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เช่น 30% ขึ้นไป กรณีนี้จะเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้น เพราะถูกคุ้มเสี่ยงครับ โดยอาจเน้นกิจการที่ได้รับกระทบน้อยจากความวุ่นวายทางการเมืองก่อน เช่น หุ้นโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล มือถือ เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดี แม้เผชิญวิกฤตทางการเมืองมาหลายครั้ง ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง การปรับฐานจากความเสี่ยงทางการเมืองจึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว รอเก็บหุ้นดังนี้ที่แนวรับใหญ่ๆ กลุ่มต่อไปนี้
1) หุ้นที่กำไรโตชัดเจน หุ้นท่องเที่ยวเน้น AOT CENTEL ที่หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของคนชั้นกลางในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ กระแส AEC (การท่องเที่ยวอาจถูกกระทบระยะสั้น ดังนั้นอาจถอยตั้งรับ ลึกหน่อย) หุ้น THCOM ที่ความต้องการใช้งานดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ แม้รวมดาวเทียมไทยคม 6 ที่จ่อยิงในเดือนพ.ย.56
2) หุ้นที่กำไรมีความแน่นอนสูง แถมปันผลก็สูงด้วยเช่น INTUCH, BTS
3) หุ้นที่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ อสังหา หรือกองทุนฯ โครงสร้างฯ เช่น LH CPN HMPRO SPGC QH TICON โครงสร้างทางการเงินจะแข็งแรงมากขึ้น จ่ายปันผลได้มากขึ้น และมีเงินทุนกลับไปลงทุนในโครงการใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมายังผู้ถือหุ้นในระยะถัดไป
นอกเหนือจากประเด็นการเมือง ยังมีผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ทยอยออกมาก่อนเส้นตายในกลางเดือนพ.ย. รวมถึงการปรับเปลี่ยนหุ้นในดัชนี MSCI ที่คาดว่าจะเพิ่มหุ้น BTS TMB เข้าไป ซึ่งจะกระตุ้นแรงซื้อจากกองทุนสไตล์ Passive Management ที่ปรับพอร์ตตามตะกร้าหุ้นในดัชนีนี้ รวมถึงการคาดการณ์แผนการลดทอน QE ของเฟด
ระหว่างที่เราวนเวียนอยู่กับความเสี่ยงทางการเมือง คงต้องตามเฝ้าดูกว่า 1) จะมีการยกระดับการยกระดับการชุมนุมจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทบกระทั่ง จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน 2) การบังคับใช้กฎหมายจะถูกต่อต้านและเกิดการสูญเสียมากน้อยแค่ไหน รวมถึงจะกระทบต่อความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไปหรือไม่ เพียงใด 3) ประเด็นต่อต้านจะขยายวงออกไปหรือไม่ ที่ใกล้ๆ ก็มีกรณีปราสาทพระวิหาร

ประเด็นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุน

ท้ายสุดนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง คงต้องขอวิงวอนทุกฝ่ายร่วมมือกันหาทางออกให้สังคมไทยโดยสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากแล้ว หยุดทำร้ายประเทศไทยเสียทีเถอะครับ

ที่มา : คอลัมน์: เรื่องเดียว หลากประเด็น
โดย : พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)

Read more »

Thursday, October 24, 2013

เฟดส่อเลื่อนแผนลดทอน QE


เฟดส่อเลื่อนแผนลดทอน QE

แผนการลดทอน QE ของเฟดมีแนวโน้มถูกชะลอออกไปเป็นปลายไตรมาสแรกปี 57 หลังเศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานภาครัฐ 16 วัน ขณะที่สภาครองเกรสทำได้เพียงบรรลุข้อตกลงชั่วคราว เปิดหน่วยงานภาครัฐไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค.57 และขยายเพดานหนี้ถึงวันที่ 7 ก.พ.57 แต่ยังไม่สามารถแก้ข้อขัดแย้งพื้นฐานของวิกฤตการคลัง เรียกได้ว่า “แค่ซื้อเวลา” ช่วงต้นปีต้องกลับมากังวลเรื่องนี้กันอีกรอบ
เมื่อนโยบายการคลังถูกลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยัวมีแนวโน้มไม่ชัดเจน นโยบายการเงินผ่อนคลายแบบสุดโต่งจึงต้องทำงานต่อไป มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะเลื่อนแผนการลดทอน QE จากเดิมก่อนสิ้นปีนี้ ออกไปเป็นการประชุมกลางเดือนมีนาคมเป็นอย่างเร็ว
กระแสการคาดการณ์ที่เฟดจะเลื่อนแผนการลดทอน QE ทำให้บอนด์ยีลลด ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าตลาดอีเมอร์จิ้งระลอกใหม่
ในส่วนของบอนด์ยีล 10 ปีของสหรัฐถอยลงมาจากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 3% มาอยู่ที่ 2.58% ต่ำสุดในรอบ 12 สัปดาห์ ส่วนบอนด์ยีล 10 ปีบ้านเรา จากจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 4.4% มาอยู่ที่ 3.84% บอนด์ยีล 10 ปี เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการลงทุน และเป็นองค์ประกอบสำคัญของคำนวณมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) สินทรัพย์ที่เคยถูกกระทบจากการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของบอนด์ยีลจึงมีโอกาสโงหัวขึ้น เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นสาธารณูปโภค หุ้นปันผลที่เติบโตน้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แผนการลดทอน QE แค่ถูกเลื่อนออกไประยะหนึ่ง ในที่สุดก็จะเริ่มลด และเลิกอยู่ดี การฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์เหล่านี้จึงเป็นโอกาสลดพอร์ต สำหรับนักลงทุนที่ยังถือสินทรัพย์เหล่านี้มากเกินไป
ในส่วนของดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น กรณีที่เทียบกับเงินบาทล่าสุดมาเคลื่อนไหวอยู่แถว 31 บาท/ดอลลาร์ จากที่เคยอ่อนยวบไปถึง 32.5 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มที่เฟดจะคงมาตรการ QE ยาวไปถึงปลายไตรมาสแรกปี 57 อาจทำให้กระแสเงินทุนที่เคยทิ้งตลาดอีเมอร์จิ้ง ไหลย้อนกลับเข้ามาเก็งกำไรรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้ตลาดแกว่งผันผวนขาขึ้น ทั้งนี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินระลอกใหม่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้บ้านเรา นอกเหนือจากประเด็นสหรัฐ จีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เริ่มมีทิศทางดีขึ้น จีนเป็นหัวรถจักรของเอเชีย เมื่อเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้นย่อมเป็นข่าวดีของตลาดหุ้นเอเชีย
สัปดาห์ก่อน จีนรายงาน GDP ไตรมาส 3 โต 7.8% เร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 7.5% ส่วนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเติบโต 10.2% ในเดือนก.ย. ใกล้เคียงกับที่โต 10.4% ในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดค้าปลีกขยายตัว 13.5%ในเดือนก.ย. ใกล้เคียงกับที่โต 13.4% ในเดือนส.ค. Valuation ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์ไม่แพง ค่าพีอีจะลดเหลือ 12.7 เท่าของประมาณการกำไรปี 57 ที่คาดว่ากำไรจะโตได้อีก 16% ใกล้เคียงกับของปีนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 3.1% และ 3.6% ในปี 56-57 ตามลำดับ มูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสเห็น 1650 จุดอีกครั้งในปีหน้า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งขึ้นตามตลาดหุ้นโลก โดยมีแนวต้านแถว 1480-1486 และ 1520 จุด ทั้งนี้บริเวณ 1500 จุดขึ้นไป น่าจะมีแรงขายจากทริกเกอร์ฟันด์หลายกองทุนที่ทำผลตอบแทนถึงเป้าหมาย
สัปดาห์ก่อน หุ้นแบงก์ทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 กำไรใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ น่าสังเกตว่า แบงก์ส่วนใหญ่ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงจากไตรมาสสอง นับเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนหุ้นที่มิใช่สถาบันการเงินจะทยอยรายงานกำไรตั้งแต่ปลายต.ค.-15 พ.ย. รอบนี้น่าสังเกตว่า ตลาดมีความคาดหวังต่ำต่อผลประกอบการ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยแผ่วต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ขณะที่นักวิเคราะห์ทยอยขยับราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานออกไป โดยใช้ประมาณการกำไรปี 57 ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากการฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนยังคงแนะหุ้นชุดเดิม ได้แก่หุ้นที่กำไรจะโดดเด่นต่อเนื่องในปีหน้า เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเช่น AOT CENTEL ที่หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของคนชั้นกลางในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ กระแส AEC ส่วนหุ้น THCOM ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้งานดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ แม้รวมดาวเทียมไทยคม 6 ที่จ่อยิงในเดือน พ.ย.
หุ้นที่กำไรมีความแน่นอนสูง แถมปันผลก็สูงด้วยเช่น INTUCH, BTS และหุ้นที่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น LH JAS CPN HMPRO SPGC QH TICON โครงสร้างทางการเงินจะแข็งแรงมากขึ้น จ่ายปันผลได้มากขึ้น และมีเงินทุนกลับไปลงทุนในโครงการใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมายังผู้ถือหุ้นในระยะถัดไป
โดย พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
The information contained in this communication is confidential and may be legally privileged. It is intended solely for the individual or entity to whom it is addressed and others authorized to receive it. If you are not the intended recipient you are hereby notified that any disclosure, copying, distribution or taking action in reliance of the contents of this information is strictly prohibited and may be unlawful. THANACHART GROUP is neither liable for the proper and/or complete transmission of the information contain in this communication nor any delay in its receipt.

Read more »

Friday, October 11, 2013

วิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้


ทรีนีตี้ได้ทำการศึกษาและประเมินถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นวิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ โดยใช้การวิเคราะห์แบบแผนภูมิต้นไม้ ซึ่งหลังจากทำการประเมินอย่างละเอียดแล้วพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าจะอยู่ใน 4 กรณีดังต่อไปนี้ได้แก่

1) กรณีที่ 1: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป (Government Shutdown) + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 50% กรณีนี้ถือเป็นกรณีฐาน (Base case) ซึ่งเรามองว่าในท้ายที่สุดเพดานหนี้จะถูกยกทัน แต่ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงของการเจรจาต่อรองนาทีสุดท้าย ซึ่งจะทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะแก่งตัวแรงตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยจังหวะการเข้าซื้อหุ้นในกรณีนี้ได้แก่ช่วงที่ตลาดมีการย่อตัวระหว่างทาง โดยคาดว่าตลาดจะมาโฟกัสหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งในช่วงของไตรมาส 3-4 นี้

2) กรณีที่ 2: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% โดยถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดสหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ดั่งเช่นเหตุกาณ์ในปี 2011 ซึ่งหากสหรัฐฯถูกปรับลดอันดับจริงเรามองเป็นความเสี่ยงสำคัญสูงสุดต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอาทิ เงินฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น และทองคำ

3) กรณีที่ 3: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการกลับมาดำเนินงานปกติ + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 40% กรณีนี้ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุด (Best case) ซึ่งหมายถึงการที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตสามารถตกลงในทุกเงื่อนไขได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงคาดตลาดหุ้นทั่วโลกจะมี Relief Rally ในช่วงสั้น

4) กรณีที่ 4: เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% กรณีนี้ถือเป็นกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) และถือเป็น Tail risk ที่สำคัญของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นโอกาสเดียวที่อาจทำให้สหรัฐฯประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ในกรณีนี้หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกแต่จะเริ่มยืนได้หลังจากที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวไม่ส่งผลต่อตราสารหนี้อื่น (No cross default)
 

สรุปมุมมองของเราที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้ของสหรัฐฯได้แก่
1) คาดมีโอกาส 95% ที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
2) คาดมีโอกาส 10% ที่สหรัฐฯจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
3) คาดมีโอกาสสูงสุดแค่ 5% ที่สหรัฐฯอาจประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
คาดการณ์กรณีต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติเพดานหนี้ของสหรัฐฯ
Source: Trinity Research

Read more »

Wednesday, May 23, 2012

สาเหตุ PTTGC ลงแรง,News

สาเหตุหลักราคา PTTGC ทรุดลงแรง

คาดว่ามาจาก ข่าวลือรื่อง profit sharing ระหว่าง PTT กับ PTTGC ซึ่ง ณ ปัจจุบัน สัดส่วนอยู่ที่ 70:30 กล่าวคือ กำไรทุกๆ 100 บาทของ PTTGC จะแบ่งให้ PTT 30 บาท ซึ่งในตลาดลือว่า สัดส่วนนี่จะเปลี่ยนเป็น 65:35 บ้าง 60:40 บ้าง สาเหตุของข่าวลือเรื่องการปรับสัดส่วนนั้น คาดว่ามาจาก สูตรราคาขายก๊าซ (ซึ่งเป็น feedstock ของ PTTGC ถึง 80-85% ) ของ PTT ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2008 ด้าน IR ปตท ยอมรับว่า ขณะนี้มีอยู่ในระหว่างการศึกษาปรับโครงสร้างราคาขายก๊าซที่เป็น feedstock ให้กับทาง PTTGC อยู่ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงจากจากปี 2009 มาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการสรุปว่า จะเป็นปรับราคาขายก๊าซ หรือ ปรับสัดส่วน profit sharing แต่อย่างใด

Read more »

Thursday, May 17, 2012

News,TRUE

ประเด็นข่าว TRUE

    นายเมธี ครองแก้ว ประธานคณะอนุฯ กล่าวว่า ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ คณะอนุฯจะสรุปว่าต้องแจ้งข้อกล่าวหาหาเพิ่มเติมกับบริษัทเอกชน TRUE หรือไม่ หลังจากเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมามีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อบอร์ด และผู้บริหารสูงสุดของ CAT ไปแล้ว (ที่มา : ข่าวหุ้น 17 พ.ค. 55)

    ความเห็น : ในวันนี้จะมีสรุปจากทางคณะอนุฯ ปปช. ว่าจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ TRUE ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากฟ้องร้องได้จริง ก็อาจต้องผ่านกระบวนการศาลซึ่งใช้เวลานานกว่าจะได้ข้อสรุป แต่จะส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้ใช้บริการในความมั่นคงของผู้ให้บริการ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังต้องติดตามต่อไป

Read more »

Friday, May 11, 2012

NEWS,ESSO,20.FEB.2012.,11.48

 

เอ็กซอนฯแอบขายปั๊ม ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ประเมินว่า บริษัท TonenGeneral Sekiyu (TG) ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ ของ ExxonMobil ในญี่ปุ่นได้ประกาศว่ามีแผนจะเข้าซื้อหุ้นจำนวน 99% ของ ExxonMobil Yugen Kaisha (EMYK) และยังรวมการซื้อคืนหุ้นของ TonenGeneral Sekiyu (TG) ซึ่ง ExxonMobil ถือครองอยู่กว่า 50% คืนจำนวน 28%

โดยขณะนี้ TonenGeneral Sekiyu (TG) มีกำลังการกลั่นโดยเฉลี่ยที่ 661,000 บาร์เรลต่อวัน โดย TG จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 3.94 พันล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ในปัจจุบัน EMYK (ExxonMobil ถือครองอยู่ 50%) และ TonenGeneral Sekiyu (TG) (กำลังการผลิตในส่วน 28%) มีกำลังการผลิตโดยรวมจากโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมี อยู่ที่ 287,000 บาร์เรลต่อวัน (แบ่งเป็นโรงกลั่น 272,000 บาร์เรลต่อวัน และพาราไซลีนที่ 15,000 บาร์เรลต่อวัน) บริษัทคาดว่าดีลจะสามารถจบได้ในเดือน มิ.ย. 55

สำหรับดีลการซื้อล่าสุด ซื้อขายโรงกลั่นด้วยมูลค่าสูงราว 13,000เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งถ้าเทียบเป็นหุ้น ESSO ถือว่าสูงถึง 21.77 บาทต่อหุ้น ดังนั้นเชื่อว่าดีลการขาย ESSO น่าจะได้ราคาดี--จบ--

Source - ข่าวหุ้น (Th)
Monday, February 20, 2012 04:07
กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--ข่าวหุ้น
ESSO แวลูพุ่ง 21 บ. ExxonMobil International Holdings Inc. แอบเจรจาขายปั๊มเอสโซ่ทั่วประเทศ 570 แห่ง ระบุฝรั่งอุบเงียบไม่รับไม่ปฏิเสธ คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ดีลขายโรงกลั่น ExxonMobil ในญี่ปุ่นและมาเลเซีย เทียบเท่าราคา ESSO ที่ระดับ 21 บาท แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจน้ำมัน เผยว่า ExxonMobil International Holdings Inc. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO สัดส่วน 65.43% ได้เจรจาขายปั๊มน้ำมันของเอสโซ่ในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และสถานีบริการน้ำมันทุกแห่งของบริษัททั่วประเทศ จำนวน 570 แห่งทั้งที่เป็นของบริษัทและที่ร่วมลงทุน โดยแบ่งขายเป็นโซนๆ ไป “เอ็กซอนได้แสดงเจตจำนงกับผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันที่จะขายปั๊มน้ำมันทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการทำธุรกิจนี้อีกต่อไป และยังส่งสัญญาณว่าจะขายโรงกลั่นเอสโซ่ต่อไป”แหล่งข่าว กล่าว ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวของบริษัทคาดว่าจะแยกขายกิจการระหว่างสถานีบริการ และโรงกลั่น ซึ่งในส่วนของโรงกลั่น บริษัทไทยออยล์สนใจที่จะซื้ออยู่แล้วโดยที่ผ่านมาหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าจะขายโรงกลั่นเอสโซ่ให้กับบมจ.ไทยออยล์ ทาง ExxonMobil International Holdings ก็ได้แจ้งตลาดว่าไม่ขอออกความเห็นในประเด็นดังกล่าว ขณะที่ไทยออยล์เองก็รอความชัดเจนจากทางเอ็กซอนฯ ซึ่งคาดว่าดีลนี้จะรู้ผลในไม่ช้านี้ขณะที่ราคาที่ซื้อขายโรงกลั่นน้ำมันในปัจจุบันค่อนข้างสูง จากการขายโรงกลั่นของญี่ปุ่นก็สูงกว่า 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ดังนั้นราคาโรงกลั่นเอสโซ่จึงไม่ควรจะต่ำกว่านี้นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า ภายในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการซื้อโรงกลั่นเอสโซ่ ส่วนจะเป็นช่วงไหนก็คงต้องขึ้นกับทาง Exxon รวมทั้งยังมีอีกหลายประเด็นที่จะต้องเจรจานักวิเคราะห์มองว่า สำหรับประเด็นแผนการซื้อ ESSO หากเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้ TOP มี upside ขึ้น จากกำลังการผลิตของ ESSO ที่ปัจจุบันใช้กำลังการผลิตแค่ 70% ของทั้งหมด เป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ ดังนั้น หาก TOP เข้ามาก็จะสามารถปรับแผนการผลิตใหม่ได้ และเติมเต็มซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกัน ESSO ก็มี Px ด้วย ซึ่งก็น่าจะมี outlook ที่ดีเช่นกัน จึงมองว่าธุรกิจน่าจะเกื้อหนุนกันได้ดี

Read more »

Monday, April 23, 2012

STOCK NEWS,TRUE,24.Apr.2012


วันนี้จับตาคณะกรรมการอนุญาโตตุลาการ เปิดเผยผลตรวจสอบสัญญาทำธุรกิจมือถือรูปแบบใหม่ เพื่อให้บริการ3จี ระหว่างบมจ. กสท โทรคมนาคม กับบริษัท ทรูมูฟ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TRUE เราเห็นว่า การตรวจสอบดังกล่าวมีประเด็นมุ่งหวังทางการเมืองเป็นหลัก โดยหากคณะอนุฯ ตรวจสอบว่าผิดจริง อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้น TRUE แต่ยังไม่กระทบต่อการดำเนินงาน เพราะ TRUE ยังคงสามารถให้บริการได้ตามปกติภายใต้สัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย (reseller) จนกว่าศาลจะตัดสิน ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนการตัดสินทั้งจากศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งคาดยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะได้คำตัดสินสิ้นสุดออกมา

Read more »

Friday, April 20, 2012

Stock News,ยอดการผลิตรถ,20.Apr.2012.,


ผลิตและขายรถเดือนมี.ค.ทำสถิติสูงสุดใหม่

เดือน มี.ค. มียอดผลิตรถยนต์พุ่งสูงถึง 190,935 คัน และ มียอดขายในประเทศ 110,928 คัน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าค่ายรถยนต์ Honda จะยังไม่กลับมาผลิต แนวโน้มปี 2555 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน หรือ เติบโต 44-47% สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศค่ายโตโยต้าประเมินจะสูงถึง 1.1 ล้านคัน เติบโต 38.5% คาดกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์จะได้ประโยชน์ จากการเติบโตสูงในอุตสาหกรรมรถยนต์ แนะนำ หุ้น AH (เป้าหมาย 15 บาท) , SAT (เป้าหมาย 30 บาท), STANLY (เป้าหมาย 200 บาท)

  • ยอดผลิตรถยนต์ทำสถิติสูงสุดใหม่ 190,935 คัน: กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2555 มีทั้งสิ้น 190,935 คัน สูงสุดนับตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ปี พ.ศ.2504 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.01% และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 13.5% สำหรับไตรมาส1/55 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ มีจำนวนทั้งสิ้น 499,560 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.52%
  • แนวโน้มไตรมาส 2/55 จะชะลอตัว : ส.อ.ท. ได้ประมาณการผลิตรถยนต์ในไตรมาส
    2/55 มีจำนวน 477,777 คัน เปรียบเทียบกับยอดผลิตจริง ไตรมาส 1/55 จะลดลง 4.36% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะพุ่งขึ้นถึง 39.85% เนื่องจากปีก่อนมีปัญหาสึนามิในญี่ปุ่น สำหรับแนวโน้มปี 2555 ประเมินยอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 2.1-2.3 ล้านคันเติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เพียง 1.46 ล้านคัน เนื่องจากปีก่อนถูกกระทบทั้งสึนามิในญี่ปุ่น และ ปัญหาน้ำท่วมในไทย

  • ตลาดรถยนต์ในประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 110,928 คัน โต 19.3% :
    สถิติการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ประจำเดือน มีนาคม 2555 มีปริมาณการขาย110,928 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 19.3% และ มากกว่าเดือนก่อน 21.48% ค่ายรถโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในเมืองไทยยังคงมีความต้องการอยู่อย่างมาก และ มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องจากค่ายรถยนต์ต่างๆ ด้วยการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ ตลอดจนนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย จะมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.1 ล้าน คัน เติบโตสูงถึง 38.5% ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยจะมียอดขายรถยนต์เกิน 1 ล้านคันต่อปี
  • คงมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้ :
    ตัวเลขยอดผลิตปัจจุบันค่ายรถยนต์ต่างๆได้กลับมาผลิตเต็ม 100% และ ยังบวกด้วยโอที เนื่องจากยังมียอดรถจองที่ค้างส่งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยค่ายรถยนต์ฮอนด้าที่เริ่มกลับมาผลิตปลายเดือน มีนาคม หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมในไตรมาสสี่ปีก่อน โดยแนวโน้มปี 2555 คาดค่ายรถยนต์ต่างๆจะกลับมาผลิตสูงกว่าระดับปกติ ทำให้คาดจะเติบโตโดดเด่น

  • นอกจากนี้เราคาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะยังได้แรงหนุนจาก นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อ และ ค่ายรถต่างๆมีการเปิดตัวรถอีโค-คาร์มากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆยังยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งออก ทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้จะเติบสูง โดยสถาบันยานยนต์ และ สภาอุตสาหกรรมประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน เติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 1.46 ล้านคัน และ ค่ายโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในนี้จะพุ่งขึ้นถึง 1.1 ล้านคัน เติบโตถึง 38.5% สำหรับหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่เราศึกษา และ แนะนำ ซื้อ ได้แก่ AH(ราคาเป้าหมาย 15 บาท), SAT (ราคาเป้าหมาย 30 บาท) และ STANLY (ราคา เป้าหมาย 200 บาท) แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับขึ้นมารับข่าวด้านบวกค่อนข้างมาก นับตั้งแต่ต้นปี พุ่งขึ้นมา 23-37%

    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Thursday, March 15, 2012

    Stock,News,เลิกแปรรูปตลาดหุ้น


    Every day may not be good,
    but there is something good in every day.
    ทุก ๆ วันอาจจะไม่ใช่วันที่ดี แต่มันก็มีสิ่งดี ๆ บางสิ่งเกิดขึ้นในทุก ๆ วัน


    เลิกแปรรูปตลาดหุ้น
    Source - เว็บไซต์ไทยรัฐ (Th)
    Thursday, March 15, 2012 05:14
    
    คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ จะเดินทางไปประชุมร่วมกับ บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ เป็นครั้งแรกในวันพุธหน้า เพื่อมอบนโยบายให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ และหนึ่งในนโยบายที่จะมอบในวันนั้นก็คือ นโยบายการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ที่ตลาดหลักทรัพย์กำลังดำเนินการอยู่วันนี้ผมมีข้อมูลจากวารสาร “การเงินธนาคาร” มาเล่าสู่กันฟังล่วงหน้ารองนายกฯกิตติรัตน์ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “การเงินธนาคาร” ฉบับล่าสุดเดือนมีนาคมอย่างชัดเจนว่า “ผมจะไม่แปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแปรรูปเลย มุมมองเกี่ยวกับนโยบายตลาดทุนของผมก็คือ เลิกคิดแปรรูปเสียเถอะ” ถือเป็นนโยบายตลาดทุนที่ชัดเจนยิ่งเหตุผลที่ รองนายกฯกิตติรัตน์ ไม่เห็นด้วยกับการแปรรูปตลาด หลักทรัพย์ ก็เป็นเหตุผลที่น่ารับฟังอย่างยิ่งเหมือนกันการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Demutualization เพื่อแก้ไขการถูกครอบงำ ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งในโลกที่ Demutualization ก็เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์เหล่านั้น ก่อตั้งขึ้นมาจากความร่วมมือของโบรกเกอร์นายหน้า หรือกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ร่วมมือกันก่อตั้งเป็น “ตลาดหลักทรัพย์” ขึ้นมา และดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ของผู้ก่อตั้งเป็นสำคัญ เมื่อใดที่ตลาดหลักทรัพย์มีกำไร ก็จะจ่ายผลตอบแทนให้กับโบรกเกอร์ตลาดหลักทรัพย์บางแห่งก็ไม่แข็งแรง เพราะมีทุนไม่มาก และดำเนินนโยบายที่เน้นประโยชน์ของบริษัทนายหน้าผู้ก่อตั้งเพียงอย่างเดียว ทั้งที่มีผู้ได้รับประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์หลายกลุ่ม เช่น บริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุนรายย่อยและสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้ประกอบอาชีพวานิชธนกิจ รวมทั้งรัฐบาลด้วย ดังนั้น ถ้าไม่มีการแก้ไขด้วยการทำ Demutualization ก็จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์นั้นอ่อนแอแต่กรณีของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นต้องดีมิว เพราะตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่เคยถูกครอบงำเลย แม้บริษัทนายหน้าหรือโบรกเกอร์จะมีสิทธิ์เสนอตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการใน บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ ได้ 5 คน จากกรรมการทั้งหมด 11 คน แต่การทำงานของตัวแทนโบรกเกอร์ 5 คน ก็ไม่สามารถครอบงำหรือทำอะไรที่เป็นผลเสียในลักษณะเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเพียงอย่างเดียวได้ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ไทยก็มีทุนที่แข็งแรงจากการสะสมมา 30 ปี และก็ไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถครอบงำตลาดหลักทรัพย์ได้รองนายกฯกิตติรัตน์ จึงฟันธงว่า ไม่ควรแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแก้ปัญหาการครอบงำเหมือนประเทศอื่น ถ้าแปรรูปเมื่อไรก็จะเกิดกลุ่มคนที่ต้องการกำไรสูงสุด จากการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์เป็นเป้าหมายหลัก แทนที่จะให้ตลาดหลักทรัพย์ทำงานเพื่อพัฒนาตลาดทุนของไทยทั้งหมด เมื่อไม่แปรรูปแล้ว การพัฒนาตลาดทุนต่อไป รองนายกฯกิตติรัตน์ บอกว่าจะเสนอให้ตั้ง “คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน” ขึ้นมาใหม่ เพื่อทำหน้าที่พัฒนาตลาดทุนต่อไป กรรมการชุดนี้จะไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นชื่อคนเลย จะคัดเข้ามาโดยตำแหน่ง เช่น กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เลขาธิการ ก.ล.ต. นายกสมาคมตลาดทุนทั้ง 5 สมาคม ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และจะเชิญแบงก์ชาติมาร่วมด้วยก็เป็นนโยบายที่ดีครับ ผมเห็นด้วยกับ รองนายกฯกิตติรัตน์ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ ต้องเป็นแกนหลักในการ พัฒนาตลาดทุน เพื่อให้ตลาดทุนไทยแข็งแรงแข่งกับเพื่อนบ้านได้ ตลาดหลักทรัพย์ ไม่ควรเป็น องค์กรธุรกิจ ที่มุ่ง ทำกำไรสูงสุด เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผิดเจตนารมณ์การก่อตั้งที่ต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์นำรายได้ไปพัฒนาตลาดทุนต่อ โดยรัฐบาล “ยกเว้นภาษีเงินได้ร้อยละ 30” เพื่อให้มีเงินทุนที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่หากำไรเพื่อแบ่งกัน.
    “ลม เปลี่ยนทิศ”

    Read more »

    Tuesday, March 6, 2012

    NEWS,HOT NEWS,6.Mar.2012.,14.25

    TUF ประกาศเพิ่มทุน 199 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิม ต่อ 1หุ้นเพิ่มทุนใหม่ ราคาเพิ่มทุน 50 บาท/หุ้น
    วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน คือนำเงินไปชำระภาระหนี้สิน ที่เหลือจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้เราได้ปรับปรุงประมาณการปี 55-56 ใหม่ โดยลดคาดการณ์ดอกเบี้ยจ่ายลงจากการชำระหนี้สินคืน จึงทำให้คาดว่าแนวโน้มกำไรปี 55 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท (จากเดิม 5,575 ล้านบาท) แต่ผลจาก Dilution effect ของการเพิ่มทุนราว 20% จึงทำให้คาดการณ์ EPS ปี 55 ลดลงเหลือ 5.02 บาท (จากเดิม 5.58 บาท) ซึ่งทรงตัวใกล้เคียงกับ EPS ปี 54 เราประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 55 (Fully diluted) ของ TUF เท่ากับ 75 บาท อิง PER 15 เท่า เราคาดว่าราคาหุ้น TUF น่าจะสนองข่าวลบการเพิ่มทุนในวันนี้ แนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง

    Read more »

    Wednesday, February 22, 2012

    Stock Focus,NEWS,22.Feb.2012.,15.05



    ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่า พรก. 2  ฉบับ คือ 1) พรก.บริหารหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านล้านบาท และ 2) พรก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทแก้นํ้าท่วม  ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ


    --------------------------
    CPF รายงานกำไรสุทธิ 4Q54 เท่ากับ 2,403 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 51% QoQ และน้อยกว่าที่เราคาดไว้ 4.5% โดย Gross Margin ปรับตัวลดลงมากสู่ระดับ 13% จาก 17.9% ใน 3Q54 ซึ่งลดลงมากกว่าที่เราคาด ในขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 2554 ของ CPF เท่ากับ 15,837 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 17% YoY และใกล้เคียงกับประมาณการของเรา เรายังแนะนำซื้อ CPF กำหนดราคาเหมาะสมปี 2555 เท่ากับ 45 บาท อิง PER 15 เท่า โดยคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 2H54 เท่ากับ 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield เท่ากับ 1.7% p.a. (จ่ายไปแล้ว 0.60 บาท/หุ้นในงวด 1H54) กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 พ.ค. 2555 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พ.ค. 55

    Read more »

    Friday, February 17, 2012

    Stock Focus,NEWS ,Iran’s Oil Sanction,PTT,PTTEP,17,FEB,2005., 12.50




    Comment:


    Iran’s Oil Sanction
    17 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมาจากประเทศอิหร่าน, อิรัก,ซาอุดิอาระเบีย, คูเวต, กาตาร์, และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และส่งออกไปยังประเทศแถบเอเชียประมาณ 77% และ สหภาพยุโรป 8% โดยถ้าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เกิดขึ้นปริมาณน้ำมันดิบที่มีความเสี่ยงมีอยู่ประมาณ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากในประเทศซาอุดิอาระเบีย และ อิรัก มีท่อส่งน้ำมันขนาด 4.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อ1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วง เดือน พ.. 55 โดยประเด็นการปิดช่องแคบฮอร์มุซยังคงเป็นประเด็นผลักดันราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดีเรามองว่า มีความเป็นไปได้ในประเด็นนี้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากถ้าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซเกิดขึ้นจริง อิหร่านเองก็จะไม่สามารถส่งออกน้ำมันไปในประเทศที่ไม่คว่ำบาตตนเอง เช่นจีนและอินเดียได้ เรายังมองว่าถ้าหากยุโรปตัดสินใจที่จะดำเนินการคว่ำบาตการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านตั้งแต่เดือน ก.. 55 จริงปริมาณน้ำมันดิบจำนวน 0.7 ล้านบาร์เรลต่อวันซึ่งส่งออกไปยุโรปนั้นจะต้องถูกนำมาขายในตลาดอื่นซึ่งไม่ตอบรับนโยบายคว่ำบาตของสหรัฐ ประเทศกรีซ, อิตาลี และสเปนซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษกิจ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านประมาณ 53%, 13%, และ 16% ตามลำดับของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด ย่อมต้องมีการพึ่งพาน้ำมันดิบจากอิหร่านอยู่ในประมาณหนึ่งอีกอย่างการปิดช่องแคบจะเป็นการจุดชนวนทางทหาร ซึ่งจะส่งผลร้ายต่ออิหร่านเอง และสหรัฐฯเองซึ่งในปีนี้จะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.. 55 ย่อมไม่มีความต้องการที่จะเริ่มสงครามในช่วงเวลานี้ แต่ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นปัจจัยที่เรากังวลมากกว่า.. 54 ที่มีรายงานของ ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(International Atomic Energy Agency หรือ IAEA ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งบ่งชี้ว่าอิหร่านดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาวัตถุระเบิดนิวเคลียร์ ส่งผลให้ สหรัฐฯ ซึ่งได้มีการคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านมายาวนาน ได้ออกมาเรียกร้องให้ประเทศอื่นร่วมกันคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านด้วย รวมถึงสหภาพยุโรป โดยอิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการ เริ่มการซ้อมรบเป็นเวลา 10 วันบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือสำคัญในอ่าวเปอร์เชีย ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวล ว่าความกดดันจากประเทศตะวันตกจะทำให้อิหร่านตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เป็นปัจจัยหนึ่งในการผลักดันราคาน้ำมันดิบ5 ของโลก โดยมีการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะใช้ในประเทศประมาณ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกประมาณ 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเทศจีนและอินเดียเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอิหร่านโดยมีสัดส่วนประมาณ 34% ของจำนวนการส่งออกทั้งหมด โดยทั้งสองประเทศได้แสดงความ0.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ได้มีมติที่จะคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันจากอิหร่านตั้งแต่วันที่ 1 .. 55 โดยอิหร่านได้ออกมาตอบโต้ว่า อิหร่านสามารถที่จะยุติการส่งออกน้ำมันดิบไปที่สหภาพยุโรปได้ก่อนกำหนดการคว่ำบาตร
    หลังจากในเดือน พ
    ปัจจุบันอิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบ อันดับ
    ไม่เห็นด้วยต่อ นโยบายคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในขณะที่สหภาพยุโรป ซึ่งนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ประมาณ
    ปริมาณน้ำมันดิบที่จะต้องมีการส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆมีปริมาณโดยเฉลี่ยประมาณ
    วัน ตามลำดับ รวมถึง ท่อส่งน้ำมันในประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขนาด
    ประเด็นที่จะส่งต่อบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย
    โดยประเด็นที่จะส่งผลกระทบคือ ประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ และประเด็น
    Supply Shortage จากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ กลุ่ม PTT มีการพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางประมาณ 60-80%
    โดยเรามองว่า ทั้ง TOP , ESSO และ PTTGC มีการพึ่งพาน้ำมันดิบจากซึ่งจะต้องมีการส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ประมาณ 70% และจากแหล่งอื่นประมาณ 30% โดย ESSO และ PTTGC มีการ Co-loading กับ TOP พอสมควร และขณะนี้ TOP มีการกระจายความเสี่ยงโดยการเริ่มนำเข้าน้ำมันทั้งจาก แอฟริกา และ ประเทศในกลุ่ม Far East โดยขณะนี้บริษัทได้มีระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเพื่อเปิดโอกาสที่จะกลั่น Crude ชนิดใหม่ๆได้
    ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทำให้เรามองว่า ราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะยืนตัวอยู่สูงส่งผลดูต่อธุรกิจต้นน้ำเช่น PTTEP, PTT (ซึ่งถือหุ้น PTTEP อยู่ 65.31%) และ BANPU โดยเรามองว่าราคาน้ำมันที่ยืนตัวอยู่สูงน่าจะส่งผลให้เกิดมุมมองเชิงบวกต่อราคาถ่านหินไปด้วย แต่เราค่อนข้างมีมุมมองที่เป็นกลางกับธุรกิจ Downstream ในปีนี้ โดยราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจะไปทำให้มาร์จิ้นปิโตรเคมี และค่าการกลั่นแคบลง และจะเป็นไปได้ยากในการมี Stock gain อย่างไรก็ดีเรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับ PTTGC และ TOP เนื่องจาก สเปรดที่ยังแข็งแกร่งของ พาราไซลีนโดยเฉพาะในช่วง 1H55 เนื่องจากดีมานต์ที่จะเข้ามามาก ประกอบกับในสายการผลิตโอเลฟินส์ของ PTTGC มีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น วัตถุดิบกว่า 90% จึงทำให้บริษัท ไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับผู้ประกอบการรายอื่นในกรณีที่ราคาน้ำมันยืนตัวอยู่สูง
    Disclaimer
    การเปิดเผยผลการสำรวจของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
    by   วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย
    (IOD) ในเรื่องกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) นี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยการสำรวจของ IOD เป็นการสำรวจและประเมินจากข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น ผลสำรวจดังกล่าวจึงเป็นการนำเสนอในมุมมองบุคคลภายนอก โดยไม่ได้เป็นการประเมินการปฏิบัติ และมิได้มีการใช้ข้อมูลภายในในการประเมินอนึ่งผลการสำรวจดังกล่าว เป็นผลการสำรวจ ณ วันที่ปรากฏในรายงานการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น ดังนั้น ผลการสำรวจจึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังวันดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด มิได้ยืนยันหรือรับรองถึงความถูกต้องของผลสำรวจดังกล่าวแต่อย่างใด
    ในขณะที่ เรามองว่า BCP จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะ บริษัทพึ่งพิงน้ำมันดิบในประเทศประมาณ 45% และ อีก 43% มาจากตะวันออกไกล และส่วนอื่นซึ่งรับมาจากตะวันออกกลางมีเพียง 12% เท่านั้น

    Read more »

    Thursday, February 16, 2012

    Stock Focus,PTT, 16.FEB.2005., 15.40




    ปตท. (PTT) เป้า 394 บาท

    กบง.มีมติให้ขึ้นราคา NGV-LPG, เก็บเงินเบนซินเข้ากองทุนฯ ตามกำหนด 16 ..55 (กบง.) มีมติปรับขึ้นราคา NGV อีก 50 สตางค์/กิโลกรัม และ ก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคขนส่ง 75 สตางค์/กิโลกรัม นอกจากนี้ มีมติให้เก็บเงินจากน้ำมันกลุ่มเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกลิตรละ 1 บาท ในวันที่ 16 .. ตามกำหนด.
    คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเรามองว่าเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นต่อ PTT โดยก่อนวันที่ 16 .. 55 ราคาก๊าซเอ็นจีวีได้มีการปรับขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9 บาทต่อ โลกรัม การปรับขึ้นราคาในครั้งนี้จะทำให้ราคาก๊าซเอ็นจีวี อยุ่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัมโดยเรายังคงต้องจับตาดูหลังจากเดือน พ.. 55 ว่า กบง. ยังคงมีมติให้ปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นต่อหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบัน PTT ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลจำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม การปรับราคาขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกโดยรวม จำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม จึงยังไม่ส่งผลต่อ PTT มากนัก โดยเงินชดเชยจากรัฐบาลจะทยอยปรับลดลงเพื่อรับกับราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น และยังมีระเด็นความไม่พอใจในการปรับขึ้นราคาของ ผู้ประกอบการรถรับส่งสาธารณะ (ซึ่งมีจำนวนการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ประมาณ 25% ของการใช้ทั้งหมด) โดยปัจจุบัน PTT ได้ร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อออกบัตรส่วนลดจำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม ให้กับผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการจะเริ่มรับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาหลังจากเดือน พ.. 55 ไปแล้วโดยเรายังคงมองว่า ถ้าราคาก๊าซเอ็นจีวี สามารถปรับขึ้นได้จริง ผลขาดทุนจากการตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี ของ PTT ซึ่งคาดว่าในปี 2554 มีจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี (คิดจากสมมุติฐานที่ว่าต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม) จะสามารถปรับตัวลดลงได้ประมาณ 3พันล้านบาทในปี 2555 (ทำให้เหลือผลขาดทุนประมาณ 7,000 ล้านบาท) อย่างไรก็ดีการที่ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยขณะนี้ราคาอยู่ที่ 7 เหรียญฯต่อล้านบีทียู (ราคาเฉลี่ยในปี 2554 อยู่ที่ 6 เหรียญฯต่อล้านบีทียู) จะเป็นปัจจัยผลักดันต้นทุนของ ก๊าซเอ็นจีวี ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ถึงแม้ราคาก๊าซเอ็นจีวี ในประเทศจะสามารถปรับตัวมาถึง 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม ภายในปลายปีนี้แต่ PTT ยังคงต้องแบกรับผลขาดทุนต่อไปแต่ในที่สุดหาก PTT สามารถปรับขึ้นราคา NGV สะท้อนต้นทุนแท้จริงได้ (Floating Price) จะทำให้กำไรรวมรายปีของ PTT เพิ่มขึ้นจากฐานเดิมได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น EPS เพิ่มราว 3.5 บาทต่อหุ้น จากฐานปี 2554 มีกำไร EPS ที่ 39.4 บาทต่อหุ้น ถือว่ากำไรเพิ่มราว 10% ต่อปี สำหรับการขึ้นราคา LPG เราเชื่อว่ายังไม่ส่งผลต่อ PTT มากนักเพราะ ผู้แบกรับส่วนต่างราคา LPG ส่วนใหญ่ค่อ รัฐบาลฯ โดย PTT เป็นตัวกลางในการ ซื้อและนำเข้า และรอเรียกเก็บเงินจากรัฐบาลฯ แต่เรามองว่าน่าจะส่งผลดีต่อโรงกลั่นซึ่งสามารถกลั่น LPG โดยขณะนี้ ปริมาณการกลั่น LPG ของ TOP เพิ่มขึ้นจาก 3% มาเป็น 5% ในปี 2554 เนื่องจากมีสเปรดที่ดีขึ้น (สเปรดเมื่อลบกับราคาน้ำมันของดูไบได้ปรับตัวดีขึ้นจาก -48 เหรียญต่อบาร์เรลเป็น -41.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปี 2554) โดยสูตรการคิดราคา LPG คือ 76% คิดที่ราคาในตลาดและอีก 24% จะคิดที่ราคาที่ถูกตรึงไว้ที่ 333 เหรียญต่อตัน

    Read more »

    Tuesday, February 14, 2012

    NEWS ,BANK,14,FEB,2005., 10.09




    Our greatest glory is not in never falling, but in rising every time we fall.
    เกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้มาจากการที่เราไม่เคยล้ม
    แต่มาจากการลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้งที่ล้มต่างหาก

    ธปท.และสมาคมธนาคารไทยได้ข้อสรุปเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 0.46% จากฐานเงินฝาก ตั๋วบีอีและหุ้นกู้ของธ.พ. เพื่อนำไปชำระดอกเบี้ยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ส่วนอีก 0.01% เรียกเก็บเฉพาะเงินรับฝากเพื่อนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากเท่านั้น เรามองว่าเป็นการปลดล็อคความกังวลที่เกิดขึ้นในกลุ่มธ.พ. โดย SCB และ KBANK ได้รับผลกระทบน้อยสุด เราจึงเลือกเป็น Top picks ของกลุ่มฯ ส่วนธ.พ.ขนาดใหญ่อื่น ทั้ง BBL และ KTB ก็ได้รับผลกระทบไม่มาก ในขณะที่ LHBANK, TMB และ TISCO ได้รับผลกระทบมากสุด 

    Read more »