Showing posts with label NEWS. Show all posts
Showing posts with label NEWS. Show all posts

Wednesday, November 27, 2013

การประเมิณสถาณการณ์ทางการเมืองกับการลงทุน

ประเมิณสถาณการณ์ทางการเมือง

กับการลงทุน


- ทรีนีตี้ประเมินว่าความเป็นไปได้ของการยุบสภามีมากขึ้น โดยในกรณีฐานคาดว่ารัฐบาลจะประกาศยุบสภาในช่วงต้นเดือนธันวาคมหลังจากวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่สมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่จะได้สิทธิ์ทางการเมืองกลับมา ซึ่งน่าจะทำให้ความอึมครึมของวิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้คลี่คลายลงไปได้บ้าง
- อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงสูงสุดที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่การพิจารณาไต่สวนของปปช.เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขที่มาของส.ว. การใช้บัตรเสียบแทนกันเพื่อลงคะแนนเสียง รวมถึงการถอดถอนประธานสภาผู้แทนฯและประธานวุฒิสภา โดยเรามองว่ากรณีที่น่าจะมีความเป็นไปได้สูงสุดได้แก่การที่ปปช.ชี้มูลความผิดแก่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์และนายนิคม ไวยรัชพานิช ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯและประธานวุฒิสภาเท่านั้น โดยมีกรณีเลวร้ายที่สุดได้แก่การพิจารณาให้ประธานสภาและสมาชิก 312 คนรวมทั้งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีก
- เรามองว่าระดับ Valuation ปัจจุบันนั้นมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนแล้ว โดยล่าสุด Forward PE ของ SET Index อยู่ที่ระดับ 12 เท่า ซึ่งอยู่ในช่วง Valuation ที่มักจะให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนดีที่สุด (11.2 – 12.2 เท่า) นอกจากนั้นการปรับตัวลงมาของ SET Index จึงทำให้ Valuation gap ระหว่าง SET Index กับดัชนี MSCI World มีความน่าสนใจขึ้นอย่างมาก โดยล่าสุด Forward PE ของ SET Index อยู่เพียงระดับ 0.84 เท่าของ MSCI World ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 และเป็นระดับที่เข้าใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 0.83
- กลยุทธ์การลงทุน: มอง SET Index มีโอกาสปรับตัว Bottom out ในช่วงสัปดาห์นี้หลังจากคาดการณ์มีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่รัฐบาลจะประกาศยุบสภาในช่วงต้นเดือนธันวาคมบวกกับเม็ดเงิน LTF/RMF ที่เตรียมไหลเข้า โดยต้องติดตามประเด็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดได้แก่การพิจารณาคดีของปปช.ซึ่งอาจรู้ผลในสัปดาห์นี้ แนะนำถือหุ้นจากการเข้าซื้อเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน โดยมองเป้าหมายหุ้นของการดีดกลับในช่วงถัดไปได้แก่หุ้นใน SET100 ที่น่าจะเป็นเป้าหมายของของเม็ดเงิน LTF/RMF ซึ่งได้แก่ SCC, IVL, PTTGC, ADVANC, INTUCH, THCOM, BBL, SCB, KBANK, CPF, CPALL, TUF ส่วนในระยะสั้นแนะนำสะสมหุ้นตามธีม MSCI ซึ่งได้แก่ BTS และ TMB ซึ่งกำลังเข้าสู่วันบังคับใช้จริงในช่วงเย็นวันพรุ่งนี้
Valuation gap ล่าสุดระหว่าง SET Index กับดัชนี MSCI World

Source: Trinity Research

Read more »

Tuesday, November 5, 2013

การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น



การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น

ตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นยังคงถูกกดดัน

จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนฉ่า

บรรยากาศความไม่แน่นอนปกคลุมตลาดหุ้น วอลุ่มเทรดหด ตลาดหุ้นไทยเริ่มให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง กลุ่มนี้จึงลดความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอช้อนซื้อของถูกเมื่อตลาดปรับตัวลงลึก
อีกกลุ่มหนึ่งแม้ไม่แน่ใจในสถานการณ์การเมือง แต่เล็งเห็นว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แม้การฟื้นตัวจะเชื่องช้า แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า จะกระเตื้องขึ้นในปีหน้า ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง สัดส่วนมาร์เกตแคปของหุ้นที่อิงการบริโภคเติบใหญ่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สวนทางกับของหุ้นโภคภัณฑ์ กำไรของหุ้นอิงการบริโภคมีแนวโน้มเติบโตมั่นคง ขณะที่ของหุ้นโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง กำไรของตลาดในภาพรวมจึงลดความผันผวนลง
อย่างไรก็ดี Valuation หุ้นไทยยังไม่อยู่ในขั้น “ถูกจัด” กลุ่มนี้จึงใช้กลยุทธ์ รอตั้งรับเมื่อราคาหุ้นย่อตัว เนื่องจากยังหวั่นไหวต่อสถานการมีเพียงกลุ่มน้อยนิดที่มองสวนตลาด กลุ่มนี้ประเมินว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง จึงเริ่มทยอยเข้าซื้อ
จะเห็นได้ว่า พวกที่อยากขายก็ได้ทยอยขายไปแล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง “รอเก็บของถูก” ที่ดัชนีต่ำกว่า 1400 จุด บ้างก็ว่า จะรอลึกถึง 1350 จุด ก็มี คำถามคือ ถ้าหุ้นไม่ลงล่ะ จะยอมขยับราคาซื้อขึ้นมามากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ดี ช่วงสั้น ดัชนีหุ้นคงไปได้ไม่ไกล แรงขายจะมีออกมาเป็นระยะ เนื่องจากตลาดหุ้นยังเผชิญวิบากกรรมอันเป็นผลพวงจากความขัดแย้งในสังคมไทยต่อไป
แม้จะมีความเสี่ยงทางการเมือง แต่ไม่ควรกังวลจนลืมดูปัจจัยพื้นฐานและมูลค่าของกิจการ ในบางขณะ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจวิตกมากเกินเหตุ จนราคาหุ้นตกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เช่น 30% ขึ้นไป กรณีนี้จะเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้น เพราะถูกคุ้มเสี่ยงครับ โดยอาจเน้นกิจการที่ได้รับกระทบน้อยจากความวุ่นวายทางการเมืองก่อน เช่น หุ้นโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล มือถือ เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดี แม้เผชิญวิกฤตทางการเมืองมาหลายครั้ง ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง การปรับฐานจากความเสี่ยงทางการเมืองจึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว รอเก็บหุ้นดังนี้ที่แนวรับใหญ่ๆ กลุ่มต่อไปนี้
1) หุ้นที่กำไรโตชัดเจน หุ้นท่องเที่ยวเน้น AOT CENTEL ที่หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของคนชั้นกลางในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ กระแส AEC (การท่องเที่ยวอาจถูกกระทบระยะสั้น ดังนั้นอาจถอยตั้งรับ ลึกหน่อย) หุ้น THCOM ที่ความต้องการใช้งานดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ แม้รวมดาวเทียมไทยคม 6 ที่จ่อยิงในเดือนพ.ย.56
2) หุ้นที่กำไรมีความแน่นอนสูง แถมปันผลก็สูงด้วยเช่น INTUCH, BTS
3) หุ้นที่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ อสังหา หรือกองทุนฯ โครงสร้างฯ เช่น LH CPN HMPRO SPGC QH TICON โครงสร้างทางการเงินจะแข็งแรงมากขึ้น จ่ายปันผลได้มากขึ้น และมีเงินทุนกลับไปลงทุนในโครงการใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมายังผู้ถือหุ้นในระยะถัดไป
นอกเหนือจากประเด็นการเมือง ยังมีผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ทยอยออกมาก่อนเส้นตายในกลางเดือนพ.ย. รวมถึงการปรับเปลี่ยนหุ้นในดัชนี MSCI ที่คาดว่าจะเพิ่มหุ้น BTS TMB เข้าไป ซึ่งจะกระตุ้นแรงซื้อจากกองทุนสไตล์ Passive Management ที่ปรับพอร์ตตามตะกร้าหุ้นในดัชนีนี้ รวมถึงการคาดการณ์แผนการลดทอน QE ของเฟด
ระหว่างที่เราวนเวียนอยู่กับความเสี่ยงทางการเมือง คงต้องตามเฝ้าดูกว่า 1) จะมีการยกระดับการยกระดับการชุมนุมจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทบกระทั่ง จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน 2) การบังคับใช้กฎหมายจะถูกต่อต้านและเกิดการสูญเสียมากน้อยแค่ไหน รวมถึงจะกระทบต่อความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไปหรือไม่ เพียงใด 3) ประเด็นต่อต้านจะขยายวงออกไปหรือไม่ ที่ใกล้ๆ ก็มีกรณีปราสาทพระวิหาร

ประเด็นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุน

ท้ายสุดนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง คงต้องขอวิงวอนทุกฝ่ายร่วมมือกันหาทางออกให้สังคมไทยโดยสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากแล้ว หยุดทำร้ายประเทศไทยเสียทีเถอะครับ

ที่มา : คอลัมน์: เรื่องเดียว หลากประเด็น
โดย : พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)

Read more »

Thursday, October 24, 2013

เฟดส่อเลื่อนแผนลดทอน QE


เฟดส่อเลื่อนแผนลดทอน QE

แผนการลดทอน QE ของเฟดมีแนวโน้มถูกชะลอออกไปเป็นปลายไตรมาสแรกปี 57 หลังเศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานภาครัฐ 16 วัน ขณะที่สภาครองเกรสทำได้เพียงบรรลุข้อตกลงชั่วคราว เปิดหน่วยงานภาครัฐไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค.57 และขยายเพดานหนี้ถึงวันที่ 7 ก.พ.57 แต่ยังไม่สามารถแก้ข้อขัดแย้งพื้นฐานของวิกฤตการคลัง เรียกได้ว่า “แค่ซื้อเวลา” ช่วงต้นปีต้องกลับมากังวลเรื่องนี้กันอีกรอบ
เมื่อนโยบายการคลังถูกลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยัวมีแนวโน้มไม่ชัดเจน นโยบายการเงินผ่อนคลายแบบสุดโต่งจึงต้องทำงานต่อไป มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะเลื่อนแผนการลดทอน QE จากเดิมก่อนสิ้นปีนี้ ออกไปเป็นการประชุมกลางเดือนมีนาคมเป็นอย่างเร็ว
กระแสการคาดการณ์ที่เฟดจะเลื่อนแผนการลดทอน QE ทำให้บอนด์ยีลลด ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าตลาดอีเมอร์จิ้งระลอกใหม่
ในส่วนของบอนด์ยีล 10 ปีของสหรัฐถอยลงมาจากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 3% มาอยู่ที่ 2.58% ต่ำสุดในรอบ 12 สัปดาห์ ส่วนบอนด์ยีล 10 ปีบ้านเรา จากจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 4.4% มาอยู่ที่ 3.84% บอนด์ยีล 10 ปี เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการลงทุน และเป็นองค์ประกอบสำคัญของคำนวณมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) สินทรัพย์ที่เคยถูกกระทบจากการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของบอนด์ยีลจึงมีโอกาสโงหัวขึ้น เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นสาธารณูปโภค หุ้นปันผลที่เติบโตน้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แผนการลดทอน QE แค่ถูกเลื่อนออกไประยะหนึ่ง ในที่สุดก็จะเริ่มลด และเลิกอยู่ดี การฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์เหล่านี้จึงเป็นโอกาสลดพอร์ต สำหรับนักลงทุนที่ยังถือสินทรัพย์เหล่านี้มากเกินไป
ในส่วนของดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น กรณีที่เทียบกับเงินบาทล่าสุดมาเคลื่อนไหวอยู่แถว 31 บาท/ดอลลาร์ จากที่เคยอ่อนยวบไปถึง 32.5 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มที่เฟดจะคงมาตรการ QE ยาวไปถึงปลายไตรมาสแรกปี 57 อาจทำให้กระแสเงินทุนที่เคยทิ้งตลาดอีเมอร์จิ้ง ไหลย้อนกลับเข้ามาเก็งกำไรรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้ตลาดแกว่งผันผวนขาขึ้น ทั้งนี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินระลอกใหม่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้บ้านเรา นอกเหนือจากประเด็นสหรัฐ จีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เริ่มมีทิศทางดีขึ้น จีนเป็นหัวรถจักรของเอเชีย เมื่อเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้นย่อมเป็นข่าวดีของตลาดหุ้นเอเชีย
สัปดาห์ก่อน จีนรายงาน GDP ไตรมาส 3 โต 7.8% เร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 7.5% ส่วนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเติบโต 10.2% ในเดือนก.ย. ใกล้เคียงกับที่โต 10.4% ในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดค้าปลีกขยายตัว 13.5%ในเดือนก.ย. ใกล้เคียงกับที่โต 13.4% ในเดือนส.ค. Valuation ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์ไม่แพง ค่าพีอีจะลดเหลือ 12.7 เท่าของประมาณการกำไรปี 57 ที่คาดว่ากำไรจะโตได้อีก 16% ใกล้เคียงกับของปีนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 3.1% และ 3.6% ในปี 56-57 ตามลำดับ มูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสเห็น 1650 จุดอีกครั้งในปีหน้า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งขึ้นตามตลาดหุ้นโลก โดยมีแนวต้านแถว 1480-1486 และ 1520 จุด ทั้งนี้บริเวณ 1500 จุดขึ้นไป น่าจะมีแรงขายจากทริกเกอร์ฟันด์หลายกองทุนที่ทำผลตอบแทนถึงเป้าหมาย
สัปดาห์ก่อน หุ้นแบงก์ทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 กำไรใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ น่าสังเกตว่า แบงก์ส่วนใหญ่ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงจากไตรมาสสอง นับเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนหุ้นที่มิใช่สถาบันการเงินจะทยอยรายงานกำไรตั้งแต่ปลายต.ค.-15 พ.ย. รอบนี้น่าสังเกตว่า ตลาดมีความคาดหวังต่ำต่อผลประกอบการ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยแผ่วต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ขณะที่นักวิเคราะห์ทยอยขยับราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานออกไป โดยใช้ประมาณการกำไรปี 57 ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากการฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนยังคงแนะหุ้นชุดเดิม ได้แก่หุ้นที่กำไรจะโดดเด่นต่อเนื่องในปีหน้า เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเช่น AOT CENTEL ที่หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของคนชั้นกลางในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ กระแส AEC ส่วนหุ้น THCOM ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้งานดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ แม้รวมดาวเทียมไทยคม 6 ที่จ่อยิงในเดือน พ.ย.
หุ้นที่กำไรมีความแน่นอนสูง แถมปันผลก็สูงด้วยเช่น INTUCH, BTS และหุ้นที่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น LH JAS CPN HMPRO SPGC QH TICON โครงสร้างทางการเงินจะแข็งแรงมากขึ้น จ่ายปันผลได้มากขึ้น และมีเงินทุนกลับไปลงทุนในโครงการใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมายังผู้ถือหุ้นในระยะถัดไป
โดย พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
The information contained in this communication is confidential and may be legally privileged. It is intended solely for the individual or entity to whom it is addressed and others authorized to receive it. If you are not the intended recipient you are hereby notified that any disclosure, copying, distribution or taking action in reliance of the contents of this information is strictly prohibited and may be unlawful. THANACHART GROUP is neither liable for the proper and/or complete transmission of the information contain in this communication nor any delay in its receipt.

Read more »

Friday, October 11, 2013

วิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้


ทรีนีตี้ได้ทำการศึกษาและประเมินถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นวิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ โดยใช้การวิเคราะห์แบบแผนภูมิต้นไม้ ซึ่งหลังจากทำการประเมินอย่างละเอียดแล้วพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าจะอยู่ใน 4 กรณีดังต่อไปนี้ได้แก่

1) กรณีที่ 1: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป (Government Shutdown) + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 50% กรณีนี้ถือเป็นกรณีฐาน (Base case) ซึ่งเรามองว่าในท้ายที่สุดเพดานหนี้จะถูกยกทัน แต่ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงของการเจรจาต่อรองนาทีสุดท้าย ซึ่งจะทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะแก่งตัวแรงตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยจังหวะการเข้าซื้อหุ้นในกรณีนี้ได้แก่ช่วงที่ตลาดมีการย่อตัวระหว่างทาง โดยคาดว่าตลาดจะมาโฟกัสหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งในช่วงของไตรมาส 3-4 นี้

2) กรณีที่ 2: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% โดยถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดสหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ดั่งเช่นเหตุกาณ์ในปี 2011 ซึ่งหากสหรัฐฯถูกปรับลดอันดับจริงเรามองเป็นความเสี่ยงสำคัญสูงสุดต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอาทิ เงินฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น และทองคำ

3) กรณีที่ 3: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการกลับมาดำเนินงานปกติ + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 40% กรณีนี้ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุด (Best case) ซึ่งหมายถึงการที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตสามารถตกลงในทุกเงื่อนไขได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงคาดตลาดหุ้นทั่วโลกจะมี Relief Rally ในช่วงสั้น

4) กรณีที่ 4: เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% กรณีนี้ถือเป็นกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) และถือเป็น Tail risk ที่สำคัญของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นโอกาสเดียวที่อาจทำให้สหรัฐฯประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ในกรณีนี้หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกแต่จะเริ่มยืนได้หลังจากที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวไม่ส่งผลต่อตราสารหนี้อื่น (No cross default)
 

สรุปมุมมองของเราที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้ของสหรัฐฯได้แก่
1) คาดมีโอกาส 95% ที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
2) คาดมีโอกาส 10% ที่สหรัฐฯจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
3) คาดมีโอกาสสูงสุดแค่ 5% ที่สหรัฐฯอาจประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
คาดการณ์กรณีต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติเพดานหนี้ของสหรัฐฯ
Source: Trinity Research

Read more »

Wednesday, May 23, 2012

สาเหตุ PTTGC ลงแรง,News

สาเหตุหลักราคา PTTGC ทรุดลงแรง

คาดว่ามาจาก ข่าวลือรื่อง profit sharing ระหว่าง PTT กับ PTTGC ซึ่ง ณ ปัจจุบัน สัดส่วนอยู่ที่ 70:30 กล่าวคือ กำไรทุกๆ 100 บาทของ PTTGC จะแบ่งให้ PTT 30 บาท ซึ่งในตลาดลือว่า สัดส่วนนี่จะเปลี่ยนเป็น 65:35 บ้าง 60:40 บ้าง สาเหตุของข่าวลือเรื่องการปรับสัดส่วนนั้น คาดว่ามาจาก สูตรราคาขายก๊าซ (ซึ่งเป็น feedstock ของ PTTGC ถึง 80-85% ) ของ PTT ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2008 ด้าน IR ปตท ยอมรับว่า ขณะนี้มีอยู่ในระหว่างการศึกษาปรับโครงสร้างราคาขายก๊าซที่เป็น feedstock ให้กับทาง PTTGC อยู่ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงจากจากปี 2009 มาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการสรุปว่า จะเป็นปรับราคาขายก๊าซ หรือ ปรับสัดส่วน profit sharing แต่อย่างใด

Read more »

Thursday, May 17, 2012

News,TRUE

ประเด็นข่าว TRUE

    นายเมธี ครองแก้ว ประธานคณะอนุฯ กล่าวว่า ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ คณะอนุฯจะสรุปว่าต้องแจ้งข้อกล่าวหาหาเพิ่มเติมกับบริษัทเอกชน TRUE หรือไม่ หลังจากเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมามีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อบอร์ด และผู้บริหารสูงสุดของ CAT ไปแล้ว (ที่มา : ข่าวหุ้น 17 พ.ค. 55)

    ความเห็น : ในวันนี้จะมีสรุปจากทางคณะอนุฯ ปปช. ว่าจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ TRUE ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากฟ้องร้องได้จริง ก็อาจต้องผ่านกระบวนการศาลซึ่งใช้เวลานานกว่าจะได้ข้อสรุป แต่จะส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้ใช้บริการในความมั่นคงของผู้ให้บริการ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังต้องติดตามต่อไป

Read more »