Tuesday, November 5, 2013

การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น



การเมืองชี้ทิศทางตลาดหุ้นช่วงสั้น

ตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นยังคงถูกกดดัน

จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนฉ่า

บรรยากาศความไม่แน่นอนปกคลุมตลาดหุ้น วอลุ่มเทรดหด ตลาดหุ้นไทยเริ่มให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง กลุ่มนี้จึงลดความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอช้อนซื้อของถูกเมื่อตลาดปรับตัวลงลึก
อีกกลุ่มหนึ่งแม้ไม่แน่ใจในสถานการณ์การเมือง แต่เล็งเห็นว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แม้การฟื้นตัวจะเชื่องช้า แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า จะกระเตื้องขึ้นในปีหน้า ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง สัดส่วนมาร์เกตแคปของหุ้นที่อิงการบริโภคเติบใหญ่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สวนทางกับของหุ้นโภคภัณฑ์ กำไรของหุ้นอิงการบริโภคมีแนวโน้มเติบโตมั่นคง ขณะที่ของหุ้นโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง กำไรของตลาดในภาพรวมจึงลดความผันผวนลง
อย่างไรก็ดี Valuation หุ้นไทยยังไม่อยู่ในขั้น “ถูกจัด” กลุ่มนี้จึงใช้กลยุทธ์ รอตั้งรับเมื่อราคาหุ้นย่อตัว เนื่องจากยังหวั่นไหวต่อสถานการมีเพียงกลุ่มน้อยนิดที่มองสวนตลาด กลุ่มนี้ประเมินว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง จึงเริ่มทยอยเข้าซื้อ
จะเห็นได้ว่า พวกที่อยากขายก็ได้ทยอยขายไปแล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง “รอเก็บของถูก” ที่ดัชนีต่ำกว่า 1400 จุด บ้างก็ว่า จะรอลึกถึง 1350 จุด ก็มี คำถามคือ ถ้าหุ้นไม่ลงล่ะ จะยอมขยับราคาซื้อขึ้นมามากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ดี ช่วงสั้น ดัชนีหุ้นคงไปได้ไม่ไกล แรงขายจะมีออกมาเป็นระยะ เนื่องจากตลาดหุ้นยังเผชิญวิบากกรรมอันเป็นผลพวงจากความขัดแย้งในสังคมไทยต่อไป
แม้จะมีความเสี่ยงทางการเมือง แต่ไม่ควรกังวลจนลืมดูปัจจัยพื้นฐานและมูลค่าของกิจการ ในบางขณะ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจวิตกมากเกินเหตุ จนราคาหุ้นตกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เช่น 30% ขึ้นไป กรณีนี้จะเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้น เพราะถูกคุ้มเสี่ยงครับ โดยอาจเน้นกิจการที่ได้รับกระทบน้อยจากความวุ่นวายทางการเมืองก่อน เช่น หุ้นโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล มือถือ เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดี แม้เผชิญวิกฤตทางการเมืองมาหลายครั้ง ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง การปรับฐานจากความเสี่ยงทางการเมืองจึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว รอเก็บหุ้นดังนี้ที่แนวรับใหญ่ๆ กลุ่มต่อไปนี้
1) หุ้นที่กำไรโตชัดเจน หุ้นท่องเที่ยวเน้น AOT CENTEL ที่หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของคนชั้นกลางในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีน การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ กระแส AEC (การท่องเที่ยวอาจถูกกระทบระยะสั้น ดังนั้นอาจถอยตั้งรับ ลึกหน่อย) หุ้น THCOM ที่ความต้องการใช้งานดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ แม้รวมดาวเทียมไทยคม 6 ที่จ่อยิงในเดือนพ.ย.56
2) หุ้นที่กำไรมีความแน่นอนสูง แถมปันผลก็สูงด้วยเช่น INTUCH, BTS
3) หุ้นที่มีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ อสังหา หรือกองทุนฯ โครงสร้างฯ เช่น LH CPN HMPRO SPGC QH TICON โครงสร้างทางการเงินจะแข็งแรงมากขึ้น จ่ายปันผลได้มากขึ้น และมีเงินทุนกลับไปลงทุนในโครงการใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมายังผู้ถือหุ้นในระยะถัดไป
นอกเหนือจากประเด็นการเมือง ยังมีผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ทยอยออกมาก่อนเส้นตายในกลางเดือนพ.ย. รวมถึงการปรับเปลี่ยนหุ้นในดัชนี MSCI ที่คาดว่าจะเพิ่มหุ้น BTS TMB เข้าไป ซึ่งจะกระตุ้นแรงซื้อจากกองทุนสไตล์ Passive Management ที่ปรับพอร์ตตามตะกร้าหุ้นในดัชนีนี้ รวมถึงการคาดการณ์แผนการลดทอน QE ของเฟด
ระหว่างที่เราวนเวียนอยู่กับความเสี่ยงทางการเมือง คงต้องตามเฝ้าดูกว่า 1) จะมีการยกระดับการยกระดับการชุมนุมจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทบกระทั่ง จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน 2) การบังคับใช้กฎหมายจะถูกต่อต้านและเกิดการสูญเสียมากน้อยแค่ไหน รวมถึงจะกระทบต่อความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไปหรือไม่ เพียงใด 3) ประเด็นต่อต้านจะขยายวงออกไปหรือไม่ ที่ใกล้ๆ ก็มีกรณีปราสาทพระวิหาร

ประเด็นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุน

ท้ายสุดนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง คงต้องขอวิงวอนทุกฝ่ายร่วมมือกันหาทางออกให้สังคมไทยโดยสงบ สันติ ปราศจากความรุนแรง โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากแล้ว หยุดทำร้ายประเทศไทยเสียทีเถอะครับ

ที่มา : คอลัมน์: เรื่องเดียว หลากประเด็น
โดย : พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)

0 comments:

Post a Comment