Showing posts with label เซียนหุ้นจาก 1.2 ล้าน เป็น 100. Show all posts
Showing posts with label เซียนหุ้นจาก 1.2 ล้าน เป็น 100. Show all posts

Friday, February 3, 2012

เซียนหุ้นจาก 1.2 ล้าน เป็น 100 ล้าน ภายใน 8 ปี

เซียนหุ้นจาก 1.2 ล้าน เป็น 100 ล้าน ภายใน 8 ปี

ความรู้จากกระทู้ อยากแชร์วิธีเล่นหุ้นของผม
ผมในที่นี้หมายถึงคุณ chinn ผู้ตีแตกหุ้น JAS 10 เด้ง ซึ่งกระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้ใบหุ้น แต่เป็นกระทู้ที่แชร์ไอเดีย ให้ความรู้ในการลงทุน และจะมีการตอบคำถามของนักลงทุนท่านอื่นๆด้วยครับ แถมด้วยเส้นทางสร้าง Port ของคุณ chinn จากกระทู้ใน www.thaivi.orgเส้นทาง สร้าง Port ของคุณ chinn ( จากกระทู้ตั้งเป้าหมาย retire ที่อายุเท่าไหร่ และ พอร์ตใหญ่แค่ไหนจาก www.thaivi.org )เริ่มทำงานที่ธนชาติ 18 กุมภาพันธ์ 2546ได้ค่าคอมช่วงตลาด Boom เดือน 7-8-9 เดือนละเกือบแสนเอาเงินทั้งหมดไป ซื้อ Psl 10บาท ขาย 48บาท ต้นปี 2547 ทำให้Port เป็น 1.2 ล้าน หลังจากนั้น พ่อแม่ เติมเงินให้ 2 ล้าน เป็น 3.2 ล้าน Port นิ่ง อยู่หลาย2-3ปี เพราะถือ JAS ได้กำไรนิดหน่อย เดือน8 ปี 51 ทำ Pair Trade JAS กับ ACLไปจนถึงเดือน 7 ปี 2551 มูลค่า Port เป็น 5.8 ล้านบาท เดือน7 ปี 2551 ซื้อACL 4 บาท แต่หุ้นลงจึง Short ทุกราคาจนถึง2 บาท (บังเอิญรู้จัก DSM เลยขายตอนACL หลุด Low)หลังจากนั้น ซื้อคืนหุ้น และกู้ Margin ซื้อ แบบราคา ขึ้นก็ซื้อ เพิ่ม ทุกราคาตั้งแต่ 1.24 จนถึง 5 บาท โดยกันความเสี่ยงทุก STEPเดือน 7 ปี 2552 เอาหุ้นทั้งหมดขายที่ 7 บาท ได้เงิน 28 ล้านบาท จึงลาออกจากงานประจำ เพื่อมาพักผ่อนและ ลงทุนอย่างเดียว ตอนนี้ ถือ JAS เพื่อรอปันผลในอนาคต และทำ Port แบบสร้างกระแสเงินสด หารายได้ชดเชย ส่วนเหลือจาก กิน ใช้ ก็เอามาสะสมหุ้นเพิ่ม ชีวิต อิสระมากขึ้น ตื่นสายก็ได้ นอนทั้งวันก็ได้ มีเวลาออกกำลังกาย เที่ยวศูนย์การค้า ช่วงที่คนทำงานได้เต็มที่ เดินสบาย แต่มีเรื่องให้คิดให้วางแผนเหมือนเดิม เพราะลงทุนในหุ้นเป็นอาชีพหลัก ตั้งแต่แรก ส่วน งานหลักก็เป็นแค่อาชีพเสริมมาหลายปีแล้ว ปัญหาใหญ่ประจำวันคือ เที่ยงนี้กินไรดีว้า ? !!!วิธีเล่นหุ้นของผม ( คุณ chin )

1. การเลือกหุ้นผมจะคิดถึงว่าในอนาคตจะเกิดอะไรบ้าง โดยวันๆผมจะนั่ง มองไปรอบๆตัว ว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามหาเหตุ ของผล ที่จะตามมาแหง ๆ เช่น ปีนี้ ตัวเลขผู้ใช้ Smart Phone และ Tablet สูงขึ้นจากปีที่แล้วมากๆ
(
เพราะ อุปกรณ์มันถูกลงไปเยอะ และตรงกับ Life Style)หรือ คนหันมาอยู่เรียบรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น (เพราะคอนโดมันขึ้นเยอะแถวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลจาก Demand ที่เยอะ ซึ่งเป็นผลของวิถีชีวิตการทำงานใน Office)ฟังดูอาจเหมือนยาก ที่จะคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้นล่วงหน้า แต่จริงๆมันก็เหมือนกับที่ ทุกคนพอจะเดาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อคืนเรา นอนดึก วันนี้จึงตื่นสาย ซึ่งไปทำงานสายแบบนี้ หัวหน้าคงจะต่อว่า ซึ่ง มันเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ หรือถ้านักเทคนิคก็ เช่น หุ้นวันนี้ขึ้นแรง พรุ่งนี้จะขึ้นต่อ และต่อไปเรื่อยๆ จนมันไม่ขึ้น ก็จะนิ่ง พอนิ่งแล้วก็จะลง แล้วก็ลงไปเรื่อยๆ พอลงไปเรื่อยๆ จนไม่ลงก็จะนิ่ง แล้วก็จะเริ่มขึ้น คือผมว่า มันก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องที่คาดการณ์ได้ไม่ยาก บ่อยครั้ง ที่ผมจะพบกับคนที่บอกว่าหุ้นตัวนั้นดี ตัวนี้ถูก เพราะ P/E ต่ำ P/B ต่ำ หรือ PEG ต่ำ สำหรับผมมันไม่ใช่ เหตุผลที่หุ้นจะขึ้น เนื่องจาก P/E ต่ำใครๆก็เห็น อะไรที่คนอื่นเขายังไม่เห็น แต่เราเห็นได้ สิ่งนั้นก็คืออนาคต อีกทั้งบางครั้ง ภาพลางๆ คนจะไม่ค่อยเชื่อ กว่าจะเชื่อก็ต้องเห็นชัดๆแล้ว

2.
ผมดูว่าหุ้นตัวไหน ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ 1และ ดูว่า ยังคุ้มค่าลงทุนหรือไม่ โดยวัดจาก EV/EBITDA เป็นหลัก ในความคิดผม ผมว่า ตัวเลขนี้สะท้อนความคุ้มค่าแบบ นักธุรกิจ หรือพ่อค้า เปรียบเหมือนกับ เวลาลงทุนเป็นเงินสด จะวัดผลตอบแทนก็ต้องวัดเป็น เงินสด ที่กลับมา ไม่ใช่ กำไร ซึ่ง ตรงนี้เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้บ่อยครั้งผมเจอหุ้นที่ถูกในสายตาผม และแพงในสายตาคนอื่น เพราะ P/E >10 เท่าหรือ NA (คือมันขาดทุนทางบัญชี) แต่EV/EBITDA ต่ำกว่า10เท่า โดยนโยบายการลงทุนผม ผมคาดหวังกำไร 100% ขึ้นไป ใน 5 ปี ถึงคุ้ม จึงพยายามหาEV/EBITDA ที่ต่ำกว่า 5 เท่า เช่น JAS ตอนราคาต่ำๆ มีแต่คนมองว่าเป็นหุ้นเน่า P/E สูง แต่EV/EBITDA เขาอยู่แค่ 4 เท่าเอง ปรับแต่งทางบัญชี ขั้นตอนต่างๆ หากเราเข้าใจ จะรู้ได้ทันที ว่าหุ้นจะขึ้นเดือนไหน เพราะเหตุใด Write off หุ้น TT&T ทำให้กำไรน้อย ปีต่อมา พอไม่มีเหตุการณ์นี้ ยังไงนสพ. ก็พาดหัวว่ากำไรโตอยู่แล้ว ทั้งๆที่จริงกำไรมันดีอยู่แล้ว หากเราหยิบตัวเลข EV/EBITDA มาวัด ไม่ใช่ว่าใช้ P/E วัด

3. หากคิดผิดต้องไม่ขาดทุนในระยะยาว เนื่องจาก ผมต้องการ Port ที่โตเรื่อยๆ ไม่ใช่ หวือหวา เช่น เริ่ม 100 ได้ 50% ได้ 150พอเสีย 50% เหลือ 75 แบบนี้ต้องมานั่งแก้ ให้ได้ 33% ให้กลับเป็น 100% อีก แบบนี้ Port ไม่ไปไหนสักที เสียเวลา และโอกาส โดย ต้องมองว่า เหตุการณ์แย่สุดๆ ต่อกิจการ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น เป็นอย่างไร หากแย่ขนาดนั้นผลประกอบการก็ยังคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาที่เราซื้อซึ่งกิจการที่ไม่ผันผวนนัก EV/EBITDA ต่ำกว่า 5 เท่า ก็ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้มากแล้ว แต่หากกิจการผันผวนได้มาก ก็แค่ไม่ลงทุนครับ หาตัวอื่นแทน นอกจากนี้ ผมจะดูโครงสร้างการเงินว่าและอื่นๆ ว่ามันเสี่ยงล้มได้ไหม ถ้าเสี่ยง ก็ไม่ยุ่งดีกว่า หวังว่า พอจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านนะครับ พอดีเห็นกระทู้เถียงกันเรื่อง VI กับ VS หรือถือยาวกับถือสั้นผม ก็นั่งคิด เราเป็น VI หรือ VS กันแน่ในนิยามคนอื่น แต่ผมว่าจริงๆผมก็แค่นักลงทุนที่คิดแบบพ่อค้าครับ ตอนนี้ port ถึงเป้าหมายที่อยากได้แล้ว อยู่ 9 หลัก โดยเป็นเงินเริ่มต้นจากเงินเดือนประมาณ 3 แสน และมาบวกกับเงินลงทุนของที่บ้านภายหลังอีก 2ล้าน โดยใช้แนวทางนี้ และมีการบริหาร Leverage และ Riskใช้ เวลา 8ปีครับ ทำกำไรหุ้นแค่ 3 ตัว ได้แก่ PSL, ACL, JASปล. 1,2,3 มันเกี่ยวโยงกัน ไม่ได้เป็นลำดับขั้น บางครั้ง ดู 2 ก่อน ค่อยพิจารณา 1 กับ 3

*** Touch : ในความเห็นของผมเองแล้ววิธีการดู EV/EBITDA มันไม่ได้บ่งบอกถึงสถาณะเงินสด หรือ สินทรัพย์เสมือนเงินสด แต่ด้วยการคัดหาหุ้นของคุณชินมี อีก 2 ขั้นตอนซึ่งสามารถปิดช่วงว่างตรงนี้ได้ สุดยอดจริง ครับ ขอแสดงควารนับถือ

Read more »