Friday, October 11, 2013

วิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้


ทรีนีตี้ได้ทำการศึกษาและประเมินถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นวิกฤติการคลังของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ โดยใช้การวิเคราะห์แบบแผนภูมิต้นไม้ ซึ่งหลังจากทำการประเมินอย่างละเอียดแล้วพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าจะอยู่ใน 4 กรณีดังต่อไปนี้ได้แก่

1) กรณีที่ 1: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป (Government Shutdown) + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 50% กรณีนี้ถือเป็นกรณีฐาน (Base case) ซึ่งเรามองว่าในท้ายที่สุดเพดานหนี้จะถูกยกทัน แต่ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงของการเจรจาต่อรองนาทีสุดท้าย ซึ่งจะทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะแก่งตัวแรงตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยจังหวะการเข้าซื้อหุ้นในกรณีนี้ได้แก่ช่วงที่ตลาดมีการย่อตัวระหว่างทาง โดยคาดว่าตลาดจะมาโฟกัสหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งในช่วงของไตรมาส 3-4 นี้

2) กรณีที่ 2: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% โดยถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดสหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ดั่งเช่นเหตุกาณ์ในปี 2011 ซึ่งหากสหรัฐฯถูกปรับลดอันดับจริงเรามองเป็นความเสี่ยงสำคัญสูงสุดต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอาทิ เงินฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น และทองคำ

3) กรณีที่ 3: เพดานหนี้สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการกลับมาดำเนินงานปกติ + สหรัฐฯไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 40% กรณีนี้ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุด (Best case) ซึ่งหมายถึงการที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตสามารถตกลงในทุกเงื่อนไขได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงคาดตลาดหุ้นทั่วโลกจะมี Relief Rally ในช่วงสั้น

4) กรณีที่ 4: เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน + หน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป + สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นไปได้ 5% กรณีนี้ถือเป็นกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) และถือเป็น Tail risk ที่สำคัญของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นโอกาสเดียวที่อาจทำให้สหรัฐฯประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ในกรณีนี้หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกแต่จะเริ่มยืนได้หลังจากที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวไม่ส่งผลต่อตราสารหนี้อื่น (No cross default)
 

สรุปมุมมองของเราที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้ของสหรัฐฯได้แก่
1) คาดมีโอกาส 95% ที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นเพดานหนี้ได้ทันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
2) คาดมีโอกาส 10% ที่สหรัฐฯจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
3) คาดมีโอกาสสูงสุดแค่ 5% ที่สหรัฐฯอาจประสบกับภาวะการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
คาดการณ์กรณีต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติเพดานหนี้ของสหรัฐฯ
Source: Trinity Research

0 comments:

Post a Comment