ปตท. (PTT) เป้า 394 บาท
กบง.มีมติให้ขึ้นราคา NGV-LPG, เก็บเงินเบนซินเข้ากองทุนฯ ตามกำหนด 16 ก.พ.55 (กบง.) มีมติปรับขึ้นราคา NGV อีก 50 สตางค์/กิโลกรัม และ ก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคขนส่ง 75 สตางค์/กิโลกรัม นอกจากนี้ มีมติให้เก็บเงินจากน้ำมันกลุ่มเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกลิตรละ 1 บาท ในวันที่ 16 ก.พ. ตามกำหนด.
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเรามองว่าเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นต่อ PTT โดยก่อนวันที่ 16 ม.ค. 55 ราคาก๊าซเอ็นจีวีได้มีการปรับขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 9 บาทต่อ โลกรัม การปรับขึ้นราคาในครั้งนี้จะทำให้ราคาก๊าซเอ็นจีวี อยุ่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัมโดยเรายังคงต้องจับตาดูหลังจากเดือน พ.ค. 55 ว่า กบง. ยังคงมีมติให้ปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นต่อหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบัน PTT ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลจำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม การปรับราคาขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกโดยรวม จำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม จึงยังไม่ส่งผลต่อ PTT มากนัก โดยเงินชดเชยจากรัฐบาลจะทยอยปรับลดลงเพื่อรับกับราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น และยังมีระเด็นความไม่พอใจในการปรับขึ้นราคาของ ผู้ประกอบการรถรับส่งสาธารณะ (ซึ่งมีจำนวนการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ประมาณ 25% ของการใช้ทั้งหมด) โดยปัจจุบัน PTT ได้ร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อออกบัตรส่วนลดจำนวน 2 บาทต่อ กิโลกรัม ให้กับผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการจะเริ่มรับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาหลังจากเดือน พ.ค. 55 ไปแล้วโดยเรายังคงมองว่า ถ้าราคาก๊าซเอ็นจีวี สามารถปรับขึ้นได้จริง ผลขาดทุนจากการตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี ของ PTT ซึ่งคาดว่าในปี 2554 มีจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี (คิดจากสมมุติฐานที่ว่าต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม) จะสามารถปรับตัวลดลงได้ประมาณ 3พันล้านบาทในปี 2555 (ทำให้เหลือผลขาดทุนประมาณ 7,000 ล้านบาท) อย่างไรก็ดีการที่ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยขณะนี้ราคาอยู่ที่ 7 เหรียญฯต่อล้านบีทียู (ราคาเฉลี่ยในปี 2554 อยู่ที่ 6 เหรียญฯต่อล้านบีทียู) จะเป็นปัจจัยผลักดันต้นทุนของ ก๊าซเอ็นจีวี ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ถึงแม้ราคาก๊าซเอ็นจีวี ในประเทศจะสามารถปรับตัวมาถึง 14.50 บาทต่อ กิโลกรัม ภายในปลายปีนี้แต่ PTT ยังคงต้องแบกรับผลขาดทุนต่อไปแต่ในที่สุดหาก PTT สามารถปรับขึ้นราคา NGV สะท้อนต้นทุนแท้จริงได้ (Floating Price) จะทำให้กำไรรวมรายปีของ PTT เพิ่มขึ้นจากฐานเดิมได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น EPS เพิ่มราว 3.5 บาทต่อหุ้น จากฐานปี 2554 มีกำไร EPS ที่ 39.4 บาทต่อหุ้น ถือว่ากำไรเพิ่มราว 10% ต่อปี สำหรับการขึ้นราคา LPG เราเชื่อว่ายังไม่ส่งผลต่อ PTT มากนักเพราะ ผู้แบกรับส่วนต่างราคา LPG ส่วนใหญ่ค่อ รัฐบาลฯ โดย PTT เป็นตัวกลางในการ ซื้อและนำเข้า และรอเรียกเก็บเงินจากรัฐบาลฯ แต่เรามองว่าน่าจะส่งผลดีต่อโรงกลั่นซึ่งสามารถกลั่น LPG โดยขณะนี้ ปริมาณการกลั่น LPG ของ TOP เพิ่มขึ้นจาก 3% มาเป็น 5% ในปี 2554 เนื่องจากมีสเปรดที่ดีขึ้น (สเปรดเมื่อลบกับราคาน้ำมันของดูไบได้ปรับตัวดีขึ้นจาก -48 เหรียญต่อบาร์เรลเป็น -41.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปี 2554) โดยสูตรการคิดราคา LPG คือ 76% คิดที่ราคาในตลาดและอีก 24% จะคิดที่ราคาที่ถูกตรึงไว้ที่ 333 เหรียญต่อตัน