Wednesday, April 11, 2012

Stock Focus,11.Apr.2012., 11.20

 

KBANK, SCB, TCAP, JAS, HMPRO

ตลาดต่างประเทศยังไม่ฟื้น รอดูวันนี้ไทยอาจฟื้นก่อน เลือกลงทุนแบงก์ก่อน

ตลาดหุ้นไทยทรุดตัวต่อเนื่องรวมกว่า 50 จุด ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา โดยทำจุดสูงสุดไว้ที่ 1,213 จุด และต่ำสุด 1,156 จุด วันนี้คาดว่าแนวรับสำคัญจะอยู่ที่ระดับของโลว์วานนี้ได้ และต้องพิจารณาสถานการณ์โดยรวมในต่างประเทศว่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นได้หรือไม่ ตลาดยุโรปปรับตัวลง 2-3% หุ้นอิตาลีและสเปนดิ่งหนัก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของทั้งสองประเทศยังคงพุ่งขึ้น จากความวิตกเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 1.6%-1.8% ตลาดเอเชียเปิดทำการลบต่อในระดับที่แตกต่างกันไป ตลาดไทยเรายังมีลุ้นลบตามไม่มาก ให้แนวรับใกล้กับระดับวานนี้ที่ 1,156 บวก/ลบ หากเลือกการลงทุน เราเลือกลุ่มแบงก์มาก่อน สื่อสาร และพลังงานฯ เนื่องจากเรายังเห็นภาพใหญ่ของประเทศว่าจะมี Mega Trend ในหลาย Sector เช่น ICT, Energy รวมถึงภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชน เชื่อว่าแบงก์คือผู้ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากที่สุด เราชอบ KBANK, SCB, TCAP ที่ปรับตัวลงวานนี้เป็นโอกาสซื้อ อีกทั้ง TCAP จะ XD 17 เม.ย.นี้ 0.70 บาทต่อหุ้น แนะนำซื้อรับปันผล ส่วนสื่อสาร เราแนะนำขายทำกำไรกลุ่ม Mobile Phone Operator ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาสูง และต้องลงทุนในภายหน้าอย่างมากเพื่อทำ 3G และ 4G โดยเราชอบ JAS, THCOM ในกลุ่มสื่อสารมากกว่า ADVANC, DTAC ส่วน INTUCH ยัง Undervalued ราคาปิดของ ADVANC และ THCOM วานนี้สะท้อนราคาหุ้น INTUCH เท่ากับ 66 บาท ส่วนหุ้นใหญ่ทั้ง PTT และ SCC รอดูก่อน PTT แข็งแกร่งด้าน Earnings ไตรมาส 1/55 กว่า SCC เพราะ PTTEP มีกำไรแข็งแกร่ง แต่มีประเด็นเรื่องการ Write-off การลงทุนในอียิปต์ เข้ามาเป็น Overhang ทำให้ยังไม่เลือกเข้าทั้ง PTT และ SCC แต่จะเลือก BANPU เพราะได้อ่อนตัวลงมาหนักจากหลายเรื่องแล้ว ราคา 580 บาท ลงมาเป็นระดับที่เข้าทยอยเก็บได้

ปัจจัยวันนี้

ยุโรป: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสเปนอายุครบกำหนดไถ่ถอน 10 ปี เพิ่มขึ้น สู่ระดับ 5.92% ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 5.94% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.54 ทั้งนี้ รัฐบาลสเปนได้ออกมาย้ำในคำมั่นที่จะปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลง โดยย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการลดการใช้จ่ายราว 1 หมื่นล้านยูโร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีอายุ 10 ปียังคงปรับขึ้น โดยทะยานขึ้นอีก 0.31% สู่ระดับ 5.67% ในขณะที่นักลงทุนแห่ซื้อพันธบัตรเยอรมนี โดยราคาพันธบัตรเยอรมนีทะยานขึ้นเมื่อวานนี้ ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีอายุ 10 ปีร่วงลง 0.10% สู่ 1.637% ซึ่งใกล้กับจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.635%ซึ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 อยู่ใกล้สถิติต่ำสุด
ครม.ขยายเวลาพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ออกไปอีก 4 เดือน กระทบด้านลบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ปิคอัพ และขยายเวลาการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ป.ตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท ออกไปเป็นปี 2557 นอกจากนี้ ครม.อนุมัติจัดซื้อแท็ปเล็ตให้กับนักเรียน ป.1 เพิ่มเติมให้กับกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ในโครงการ โดยการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มจำนวน 1 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นนักเรียนป. 1 จำนวน 8.5 แสนเครื่อง ครู 7 หมื่นเครื่อง ทั้งนี้จะมีการจัดหาเครื่องสำรองให้กับโรงเรียนทั้ง 3,600 แห่ง แห่งละ 2 เครื่อง ปัจจัยดังกล่าวจะเกื้อหนุนในทางอ้อมต่อผู้ประกอบการธุรกิจ Broadband Internet คือ JAS และ TRUE
วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย

Read more »

Stock Focus,SCC,10.Apr.2012., 13.00


SCC 

Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

สรุป คาดผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะยังอยู่ในระดับต่ำ และ ไม่ฟื้นตัวดีหนัก โดยประเมินจะมีกำไรสุทธิเพียงประมาณ 5,500 ล้านบาท เทียบกับ 3,201 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน และ 9,207 ล้านบาท ในปีก่อน เนื่องจาก ถูกกระทบจาก สเปรดในธุรกิจปิโตรเคมีที่ตกต่ำหนัก และ ธุรกิจกระดาษ ที่ถูกกระทบจากภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ ในขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกที่น่าผิดหวังดังกล่าว จะเป็นแรงกดดันในด้านลบต่อราคาหุ้น เราจึงแนะนำ ซื้อ ในช่วงอ่อนตัว โดยเรายังมอง SCC มีศักยภาพที่จะเติบโตในระยะยาว จากมีเงินสดและกระแสเงินสดสูง มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ก้าวสู่ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
ธุรกิจปิโตรเคมี สเปรด PE-Naphtha ในไตรมาส 1/55 ลดลงเหลือเพียง $376/ton เทียบกับ $441/ton ในไตรมาสก่อน และ PP-Naphtha ลดลงเหลือเพียง $412/ton เทียบกับ $535/ton ในไตรมาสก่อน ส่วนบริษัทร่วมทุนซึ่งทำธุรกิจ PTA, MMA ก็มีสเปรดที่ทรุดลงหลัก ยกเว้น Butadiene ที่มีสเปรดดี โดยธุรกิจปิโตรเคมีมีสัดส่วนกำไรประมาณ 38% จึงเป็นธุรกิจสำคัญที่ฉุดผลประกอบการในไตรมาสแรก
ธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง จะมีผลการดำเนินงานที่ดี จากความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกที่เติบโตประมาณ 5% และ ราคาขายเฉลี่ยปูนซีเมนต์ที่ปรับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 30-50 บาท/ตัน โดยธุรกิจปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างปกติไตรมาสแรกจะเป็นช่วงไฮซีซั่น
ธุรกิจกระดาษ กระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆยังถูกกระทบจากภาคการผลิตที่ยังไม่กลับมาผลิตเต็มที่ ทำให้ผลประกอบการ จะยังยังไม่ฟื้นตัวโดดเด่นจากไตรมาสสี่ และจะทรุดลงจากปีก่อนหนัก แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีคาดจะปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรดปิโตรเคมีที่ตำกว่าจุดคุ้มทุนของหลายโรงงาน ในไตรมาสแรก ทำให้บางโรงงานมีการลดกำลังการผลิตลง ทำให้ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น คือ PE-Naphtha ขึ้นมาที่ 417 เหรียญ/ตัน และ PP-Naphtha ขึ้นมาเป็น 452 เหรียญ/ตัน ซึ่งคาดจะทำให้ผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในช่วงที่เหลือของปี คาดจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากโรงงานต่างๆได้กลับมาผลิตในระดับปกติมากขึ้น จึงทำให้มีความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์มากขึ้น
ยังตั้งเป้าจะลงทุน 150,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีนี้ จากปัจจุบันมีเงินสดในมือ และกระแสเงินสดสูง เน้นการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน คาดจะช่วยหนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
By Surachai Pramualcharoenkit

Read more »

Tuesday, April 10, 2012

Stock Focus,PTTEP,10.Apr.2012., 17.00

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิต (มหาชน) (PTTEP)

คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 ดีต่อเนื่อง 1.5 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 1/55 ปริมาณขายก๊าซธรรมชาติยังทรงตัวระดับ 255,000 บาร์เรลต่อวัน มีการผลิตออกจากแหล่งผลิตใหม่ ในขณะเดียวกันก็มีการลดกำลังการผลิตของ แหล่งผลิตเดิม เนื่องจากมีช่วงเวลาในการซ่อมบำรุง แต่ส่วนที่โดดเด่นมากสำหรับไตรมาสนี้ คือราคาขายก๊าซธรรมชาติทำสถิติสูงสุดขึ้นมาถึง 7 เหรียญฯ ต่อล้านบีทียู และยังคงปรับตัวขึ้นต่อในไตรมาส 2/55 มาอยู่ราว 7.1 เหรียญฯ ต่อล้านบีทียูได้อีก ซึ่งสวนทางกับราคาก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ ที่ราคาร่วงไปอยู่ราว 2.5-3.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นผลจากการมี Shale Gas มากในแหล่งสหรัฐฯ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับในประเทศไทย เราเชื่อว่า 2-3 ปีข้างหน้าเป็นช่วงที่กำไรของ PTTEP ยังเติบโต และกลยุทธ์การดำ เนินธุรกิจกำ ลังรุกคืบไปสู่การทำ Unconventional มากขึ้น เราจึงยังคงแนะนำซื้อ PTTEP ราคาเป้าหมาย 209 บาท
  • คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/55 เท่ากับ 15,235 ล้านบาท: +38.8% YoY และ +0.6% QoQ คาดการณ์กำลังการผลิตในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 2% QoQ เป็น 255,865 บาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่284,000 บาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบ แต่ที่ดีมากสำหรับไตรมาสนี้ คือราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน เราคาดการณ์ค่าเฉลี่ยราคาก๊าซ ไตรมาสนี้ที่ 7 เหรียญฯ ต่อล้านบีทียู และคาดการณ์ราคาปิโตรเลียมเฉลี่ยเท่ากับ 64.58 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล +30.8% YoY หรือ +5.4% QoQ เป็นราคาที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์โดยเป็นราคาที่ดีกว่าในช่วงน้ำมันดิบมีค่าเฉลี่ยที่ 116 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/51 ราคาผลิตภัณฑ์ช่วงนั้นก็ยังสูงเพียง 54 เหรียญฯ เท่านั้น
  • ปริมาณการผลิตในปี 2555 คาดการณ์ไว้ 284,000 บาร์เรลต่อวัน: แม้ว่าในไตรมาส 1/55 จะมีการหยุดผลิตที่แหล่งอาทิตย์เหนือไปแล้ว 120 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน และมีหยุดซ่อมบำรุงในบางแหล่งผลิตเป็นระยะสัปดาห์ แต่เราเชื่อว่าแหล่งผลิตที่จะทำให้ปริมาณการผลิตของ PTTEP เพิ่มขึ้นมาได้จะมาจากแหล่ง KKD ในคานาดา ซึ่งยังคงเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่องนับจากสิ้นปี 2554 ผลิตได้ 15,000 บาร์เรลต่อวัน คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นได้เป็น 20,000 บาร์เรลต่อวัน แหล่งบงกชใต้ ที่เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นได้รวม 320 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน ในปี 2555 แหล่งเวียดนาม 16-1 ผลิตได้เพิ่มเป็น 32,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่ไตรมาส 4/54
  • ประเมินมูลค่าเหมาะสม 209 บาท: เราใช้สมมติฐานราคาน้ำมันปี 2555 ที่ 100 เหรียญฯ และค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 30.7 บาทต่อเหรียญ ฯ กำไรสุทธิปี 2555-2557 คาดว่าเพิ่มขึ้น 12%, 21% และ 13% YoY แสดงให้เห็นว่าสามปีข้างหน้านี้ PTTEP เข้าสูงGrowth Stage อีกครั้ง หลังจากกำไรย่ำฐานที่ไตรมาสละ 10,000 ล้านบาทติดต่อกัน 4-5 ปี (ยกเว้นปีที่มีอุบัติเหตุที่มอนทารา) เราเชื่อว่า PTTEP เป็นหุ้นที่เหมาะสมจะซื้อลงทุนรับกับกระแสที่บริษัทพลังงานทั่วโลกหันเหจากการทำธุรกิจดาวน์สตรีมไปสู่อัพสตรีม เรากำหนดราคาเป้าหมาย PTTEP ที่ 209 บาท (วิธี DCF ถึงปี 2562 ค่า WACC ที่ 7.5% Long-term Growth 1%)ธุรกิจ Conventional ที่ PTTEP ดำเนินการอยู่ยังให้ภาพรวมในการสร้าง EBITDA Margin ได้ราว 70% ทั้งนี้เราเชื่อว่าปี 2555 เป็นต้นไป PTTEP จะมีส่วนผสมของธุรกิจ Unconventional เข้ามาเพิ่ม ได้แก่ Oil Sands และ LNG ซึ่งในส่วนเหล่านี้ EBITDA Margin คงน้อยกว่าธุรกิจเดิมเป็น ธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างเช่นกรณีของ Oil Sands ก็จะมี EBITDA Margin ราว 35% แม้จะน้อยกว่าเดิมแต่ก็ยังมากกว่าธุรกิจที่ไม่ใช่ E&P ซึ่งมักมี IRR ต่ำกว่า 20% เป็นปกติ ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าแนวทางที่ PTTEP กำลังเดินทางหาธุรกิจใหม่ที่เป็น Unconventional มาเพิ่ม น่าจะเป็น Direction ที่ถูกต้องแล้ว แม้จะทำให้ EBITDA Margin ในอนาคตลดลง แต่จะทำให้ฐาน EBITDA และกำไรสุทธิใน Bottom Line เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง ExxonMobil ของสหรัฐฯ ก็พยายามขายเงินการลงทุนในธุรกิจดาวน์สตรีม เพื่อเตรียมเข้าอัพสตรีมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่แนวโน้ม ของโลกธุรกิจ Unconventional ก้าวเข้ามากินสัดส่วนของ Conventional เพิ่มมากขึ้นเป็น 29% ในปี 2554 เราจึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจพลังงาน ประเภท E&P กำลังก้าวจาก Conventional เข้าไป Unconventional และเกิดการบูมก่อนเห็นการบูมอย่างชัดเจนของ Renewable Energy
  • by วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย

    Read more »

    Stock Tomorrw,10.Apr.2012.,17.35


    SupportResistance           Now
    SIMAT                2.52                 2.72               2.6
    TIES 0.60.64-0.680.62
    EMC1.72-1.751.85-1.941.78

    Comment: ตลาดวันนี้ปิดที่ 1165.61 ลบ 16.80 ปริมาณซื้อขาย 25012.52 ล้านบาท หุ้นที่ให้หลบตัวใหญ่ ก็ สามารถเล่นตามแนวรับแนวต้านครับ



    Read more »

    Stock Trend,10-12. Apr.55.

     

    แนวโน้มตลาดในสัปดาห์นี้ (10-12 เม.ย.)

    ซึ่งมีวันทำการเพียง 3 วัน และ จะหยุดยาวอีก 4 วัน ในเทศกาลสงกรานต์ คาดจะทำให้นักลงทุนชะลอ ตัวการซื้อขาย คาดจะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางลง เรามีมุมมองตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของเดือน เม.ย. มีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงของการแกว่งตัวปรับฐาน โดยบริเวณ Forward P/BV เท่ากับ 2.01x ซึ่ง
    เป็นกลุ่ม Peak ของ P/BV ในอดีต หรือ SET บริเวณ 1200-1229 จะผ่านค่อนข้างลำบาก ทำให้ตลาดมีความผันผวนเมื่อขึ้นไปทดสอบบริเวณดังกล่าว โดยมีตัวแปรที่จะทำให้ตลาดในช่วงที่เหลือของเดือน เม.ย. เข้าสู่ช่วงของการแกว่งตัวปรับฐานคือ 1.) การเลือกตั้งในฝรั่งเศส สองรอบ คือ วันที่ 22 เม.ย. และ วันที่ 6 พ.ค. ปัจจุบันนาย ฮอลลองด์ มีคะแนนนำ ซาร์โกซี ซึ่งจะมีผลในแง่ การควบคุมงบประมาณของฝรั่งเศส เพื่อให้เป็นตามข้อกำหนด และ การที่นายฮอลลองด์ มีคะแนนนำทำให้ตลาดกังวลที่ฝรั่งเศสจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง และ อาจจะมีผลต่อการใส่เงินของเยอรมนีที่จะเข้ากองทุนในอนาคต 2.) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐวันที่ 24-25 เม.ย. มีแนวโน้มจะต่อ Operation Twist และ หรือมี Mortgage Back Securities Buying กรณีนี้จะทำให้เงินออกจากหุ้นไปสู่พันธบัตร และ ตัวแปรที่สำคัญ อีกประการคือ การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของจีน ในวันที่ 13 เม.ย. ซึ่งตลาดคาดจะชะลอตัวลงเหลือ 8.4% จากไตรมาสสี่ 8.9% ถ้าลงไปต่ำกว่าคาดมากอาจจะเกิดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ คาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้: 1,160-1,200 จุด SET Index ณ ,182.41 จุด สัปดาห์นี้เราจึงเลือกหุ้น AMATA, CPF, TOP
    AMATA (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 21 บาท): ผู้บริหาร AMATA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6-7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรก บริษัทมียอดขายที่ดินเกือบ 1 พันไร่ ทำให้มั่นใจว่า ยอดขายปีนี้จะได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 3 พันไร่ สำหรับยอดขาย นิคมฯ ไทย-จีน หรือบริษัท ไทยจีนอุตสาหกรรมระยองเซอร์วิส ที่บริษัทได้ร่วมทุน กับบริษัทโฮลลี (HOLLY) ของจีนพัฒนาในพื้นที่ของนิคมฯ อมตะซิตี้จำนวน 1 พันไร่ ในสัดส่วน 51% : 49% ก็มีโอกาสที่จะขยายพื้นที่พัฒนาเป็น 2 พันไร่ ทำให้แนวโน้มปีนี้มีโอกาสจะปรับเป้าเพิ่มขึ้น นอกจากนนี้ AMATA ยังสนใจที่จะเข้าลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศพม่า โดยโอกาสการลงทุนอยู่ที่ทวายแต่จะศึกษาข้อมูลก่อน 3-4 ปี ซึ่งในการลงทุนเบื้องต้นนั้น คาดใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 200 ล้านดอลลาร์ แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้และปีหน้า คาดจะเติบโตโดดเด่น ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 21 บาท
    CPF (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 45 บาท): ธุรกิจในจีนและเวียดนามของ CPP Hong Kong ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับต้น ๆ ในธุรกิจอาหาร สัตว์และฟาร์มเลี้ยง โดยเราคาดว่า CPF จะใช้เป็นฐานในการต่อยอดไปยังธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะ ช่วยให้ Gross Margin ปรับตัวดีขึ้นมาใกล้เคียงกับ CPF นอกจากนี้ สหภาพยุโรปอนุมัตินำเข้าเนื้อไก่สดแช่แข็งจากไทย ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 2 ก.ค.55 เป็นต้นไป จะส่งผลบวกต่อ CPF เราชอบ CPF ที่สุดในกลุ่มอาหาร เพราะมีค่า PEG ต่ำที่สุด จึงยังแนะนำซื้อ กำหนดราคาเหมาะสม เท่ากับ 45 บาท
    TOP (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 85 บาท): ปี 2555 คาดว่า TOP มี Upside มากในส่วนของธุรกิจการกลั่น เราคาดการณ์ค่าการกลั่นเฉลี่ยใน ปี 2555 เท่ากับ 7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เฉพาะธุรกิจการกลั่นในไตรมาส 1/55 ถือว่าทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยคือ Real GRM+Stock Gain ทำได้ แล้ว 8 เหรียญฯ เราคาดว่าสเปรดพาราไซลีนทรงตัวในระดับที่ดีจะหนุนกำไรช่วง 1H55 ดี แนะนำซื้อ TOP ให้มูลค่าเหมาะสม 84 บาท อิงค่าPER ในปี 2555 ที่ 10 เท่า เลือกใช้วิธีนี้แทนที่จะใช้วิธี DCF ซึ่งได้มูลค่า 91 บาท เนื่องจากลักษณะของกำไรเข้าในแต่ละปี และแต่ละไตรมาสยังไม่สม่ำเสมอ มีความเป็นคอมมอดิตี้สูง (ทำให้กำไรผันผวน) แต่ปันผลจูงใจ ในระดับ 5% ต่อปี

    Read more »

    Stock Focus,BANPU,10.Apr.2012., 10.41

     

    BANPU เผยปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบ

    BLCP แต่หากต้องหยุดกระทบกำไร 10%


    นายชนินทร์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู(BANPU) เปิดเผยถึง กรณีที่โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีได้ทำเรื่องมาถึง กฟผ. เพื่อขอแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) หลังผู้จัดหาถ่านหินของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีขอเจรจาเพิ่มราคาขายถ่านหินที่ทำสัญญาไว้ก่อนหน้าว่า ในปีนี้โรงไฟฟ้า BLCP จะยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะผู้จัดหาถ่านหินรายใหญ่ดังกล่าวได้ทำสัญญาส่งมอบถ่านครบทั้งหมดแล้วในปีนี้ แต่หากกรณีที่ผู้จัดหาถ่านรายดังกล่าวหยุดส่งถ่านหินให้บีแอลซีพีก็จำเป็นต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งหาก BLCP หยุดดำเนินการจะมีผลกระทบต่อกำไรของ BANPU กว่า 10% โรงไฟฟ้า BLCP ปีนี้มีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงครบทั้งหมดแล้วในปีนี้ จึงคาดว่าปี 2555 ไม่มีผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ BANPU และ EGCO

    ความเห็น: BANPU ถือหุ้น BLCP ร่วมกับ EGCO ฝ่ายละ 50% มีกำลังการผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ในปี 2555 คาดว่ากำไรสุทธิจะเข้ามาตามเป้าหมาย 2,016 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 10% ของกำไรสุทธิของ BANPU ที่ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และในปีต่อไปจากนี้กำไรของ BLCP มีโอกาสลดน้อยถอยลงได้อีก ทั้งนี้ธุรกิจโรงไฟฟ้า BLCP มีการปันส่วนรายได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป เนื่องจากเริ่มพ้นปีที่ 5 ของโรงไฟฟ้า การรับรู้กำไรจะลดลงจากเดิมอยู่ที่ประมาณปีละ 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ผู้จัดหาถ่านหินรายนี้ (คาดว่าเป็น Rio Tinto) เข้ามาเจรจากับ กฟผ.โดยเจรจาขอเพิ่มราคาถ่านหินเป็นราว 90 เหรียญฯ/ตัน เพื่อให้ cover ต้นทุนและมีกำไรได้บ้าง จากในสัญญาเดิมกำหนดที่ 50 กว่าเหรียญฯ/ตัน ซึ่งราคา 50 เหรียญฯนี้เทียบแล้วต่ำกว่าต้นทุนและต่ำกว่าราคาตลาด เรื่องนี้ต้องให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)พิจารณาและเสนอไปถึงคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)

    ปัจจุบันผู้จัดหาถ่านหินรายนี้ส่งถ่านให้ 3.6 ล้านตันต่อปี ยังต้องส่งถ่านหินให้ BLCP อีกเกือบ 20 ปี แต่ถ้าต้องหยุดส่งความเสียหายต่อส่วนรวมมาก เพราะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ กรณีที่ BLCP จะไปซื้อถ่านหินจากรายอื่นได้หรือไม่นั้น นายชนินทร์กล่าวว่า ถ้าเราจะต้องไปซื้อจากรายอื่นก็ต้องซื้อที่ราคากว่า 100 เหรียญฯ เพราะราคาตลาดตอนนี้อยู่แถว 109-110 เหรียญฯ แต่ถ้าเจรจากับผู้จัดหารายเดิมนี้ได้แล้วตกลงกันได้ก็ยังจะดำเนินกิจการไปได้อีกเกือบ 20 ปี ต้นทุนก็ต่ำกว่าระบบก็ไม่มีปัญหา

    คำแนะนำ: กรณีดังกล่าวจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับ BANPU กรณีการรับรู้รายได้จากธุรกิจที่เป็นหลักสำคัญคือไฟฟ้า และโดยเฉพาะ BLCP นั้นในปีที่ผ่านมาพบว่าการ Contribute กำไรให้กับกลุ่ม BANPU มากถึง 1 ใน 3 (ประมาณ 6,000 ล้านบาท จากกำไรสุทธิรวม 18,000 ล้านบาท) แต่ในปี 2555 เป็นต้นไปจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเหลือเพียง 10% ของกำไรสุทธิ ซึ่งที่จริง Operating Profit ของ BANPU ได้ดีขึ้นจากธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียและออสเตรเลียเป็นหลัก Fair Value จากธุรกิจ BLCP หากต้องหยุดไปจะมีมูลค่ารวม 71 บาทต่อหุ้น จาก Fair Value รวม 762 บาท เราเชื่อว่าสำหรับ BANPU และ EGCO ได้ run โรงไฟฟ้า BLCP และเก็บเกี่ยวกำไรจนคุ้มทุนไปแล้ว แต่ตัวโรงไฟฟ้ายัง Generate รายได้ต่อไปได้อีก เราเชื่อว่าในเวลานี้ กฟผ.เองคงต้องกลับมาพิจารณา PPA ทั้งระบบ เพื่อให้การจ่ายไฟฟ้าของทั้งประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจาก BLCP ของ BANPU แล้วยังมีโรงไฟฟ้าระยอง และขนอม ของ EGCO ที่ยังมี Overhang เนื่องจากโรงไฟฟ้าทั้งสองใกล้หมดอายุ PPA ในปี 2557 และ 2559 ด้วย คำแนะนำการลงทุนใน BANPU คือรอให้ข่าวดังกล่าวคลี่คลายอย่างมีคำตอบที่ดีก่อนและหาจังหวะทยอยสะสมหุ้น BANPU เนื่องจากนับจากนี้ไปเราซื้อ BANPU เพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ E&P ถ่านหิน ที่มี Gross Margin สูงในระดับ 51% ส่วนของไฟฟ้าจากนี้ไปถือเป็นรายได้เสริม แต่ต้องระมัดระวังว่าหากหยุดการ Operate BLCP ไปเลยจะมีผลขาดทุนเข้ามาจาก Variable Cost ราคาประมาณ 580 บาทถือว่า Reasonable Price ในระยะยาวแล้ว
    BY Vajiralux Sanglerdsillapachai

    http://veryinvestment.blogspot.com/

    Read more »

    Thursday, April 5, 2012

    Gold Price, 5.Apr.2012., 19.15


    SupportResistanceNow
    Gold Spot                 1612-1618             1628-1638               1623
    US$ / TH฿ 30.9231.1831
    Gold Future23850-2392024140-2438023960
    Gold Price 238002415023950

     

     บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน ,  ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    Our greatest glory is not in never falling,
    but in rising every time we fall.

    เกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้มาจากการที่เราไม่เคยล้ม

    แต่มาจากการลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้งที่ล้มต่างหาก

    Comment: ราคาทองคืนนี้มีโอกาสเด้งขึ้นมากกว่าเมื่อวานอีก เนื่องจาก gold spot ลงมาแรง ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าช่วยพยุงอยู่แต่ได้ผลน้อย ซึ่งวันนี้หวังว่า gold spot จะดีดกลับบ้าง เพื่อไปทดสอบแนวต้าน 1638 ครับ  สรุป มองว่าราคาทองมีโอกาสดีดกลับครับ  จุดสังเกต gold spot สามารถผ่าน 1625-1628 ก็จะขึ้นไปต่อได้เลย *** กรณีผมคาดการผิด gold spot หลุดแนวรับที่ 1621 ลงมาอาจจะลงต่อ หรือมีโอกาสไปทดสอบแนวรับที่ 1618 -1612 ครับ  




    Read more »

    Stock Focus,SYNTEC,5.Apr.2012., 16.25

     

    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    Our greatest glory is not in never falling,
    but in rising every time we fall.

    บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC)

    แนวโน้มผลประกอบการจะพลิกฟื้น หุ้นราคาถูก

    ผู้บริหาร SYNTEC ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 5,200-5,300 ล้านบาท โต 10- 12% ตัวเลขงานในมือยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ณ สิ้นปี 2554 เท่ากับ 6,657 ล้านบาท และ กำลังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท คาดได้งานเพิ่ม 5-5.5 พันล้านบาท เพียงไตรมาสแรกได้งาน แล้ว 2,364 ล้านบาท ไตรมาสแรกกำไรจะยังไม่ดีหนัก แต่คาดกำไรรวมปี 2555 จะพลิกฟื้นกลับมามีกำไรปกติ 200 ล้านบาท (+106%yoy) หุ้นซื้อขาย P/E ปี 2555 ต่ำเพียง 7.04 เท่า และ ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นซึ่งอยู่ที่ ระดับ 1.43 บาท มาก แนะนำ ซื้อ ลงทุน ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 1.2 บาท โดยจะมีอัพไชด์เพิ่มในปีหน้าจากขายที่ดินช่วยเพิ่มกำไร 50-100%
    งานในมือที่ยังไม่ส่งมอบทำสถิติสูงสุดใหม่ 6,657 ล้านบาท: บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (4 เม.ย.) ผู้บริหารเปิดเผยตัวเลข งานในมือปัจจุบันที่ยังไม่ได้ส่งมอบสูงถึง 6,657 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ มีทั้งหมด 29 โครงการ โดยมีโครงการที่ใหญ่สุดคือ UBC-III & EM-2 มูลค่าโครงการ 2,008 ล้าน บาท คาดงานในมือดังกล่าวจะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท
    ปีนี้จะเข้าประมูลงานประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คาดได้งาน 5-5.5 พันล้านบาท:
    ในปี 2555 ทาง SYNTEC กำลังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ทั้งหมด 35 โครงการ เป็นงาน เอกชน 32 โครงการ คาดจะได้งานประมาณ 5-5.5 พันล้านบาท โดยเพียงไตรมาสแรก SYNTEC ได้งานมาแล้วทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ารวม 2,364 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ที่ตั้งเป้าหมายไ
    ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 5,200-5,300 ล้านบาท โต 10-12%: ผู้บริหารประเมิน ยอดรับรู้รายได้งานก่อสร้างในปีนี้ประมาณ 5,200-5,300 ล้านบาท หรือ เติบโต 10-12% และ อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับขึ้นเป็นประมาณ 10% จากปีก่อนที่ลดลงเหลือเพียง 7.1% เนื่องจากปีก่อนถูกกระทบจากน้ำท่วม และ ต้นทุนจากการเก็บงานบางโครงการ
    ค่าแรง 300 บาท จะกระทบต่อต้นทุนโครงการ 3-4%: ปัจจุบัน SYNTEC มีคนงานก่อสร้างประมาณ 4,500 คน โดยต้นทุนค่าแรงงานคิดเป็น 30% ของมูลค่างานที่ SYNTEC ได้รับ ถ้าหากปรับค่าแรงขึ้น 300 บาท คาดจะทำให้ต้นทุนค่าแรงขึ้นประมาณ 15-20% ดังนั้น สุทธิแล้ว คาดจะกระทบต่อต้นทุนโครงการประมาณ 3-4% โดย 5 โครงการใหม่ที่ประมูลได้ในปีนี้มูลค่า 2,364 ล้านบาท ได้บวกต้นทุนส่วนนี้เพิ่มแล้ว ซึ่งจะ มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 10-12%
    คาดผลประกอบการปี 2555 จะพลิกฟื้น: ยอดขาย และกำไรในปี 2554 ถูกกระทบจากปัญหาน้ำท่วม และ บางโครงการที่สร้างเสร็จซึ่งบันทึกต้นทุนแล้ว แต่มีปัญหากับลูกค้า ทำให้ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้ จึงทำให้กำไรปี 2554 ต่ำกว่าปกติเพียง 97 ล้านบาท จากปกติจะมีกำไรปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท เราคาดผลประกอบการปี 2555 จะพลิกฟื้นมาสู่ระดับปกติ โดย ยอดขายคาดจะโต 10% สู่ระดับ 5,200 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 200 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท) โตถึง 106%
    ปี 2556 จะมีอัพไชด์จากการขายที่ดิน หรือ พัฒนาโครงการร่วม 100-175 ล้านบาท:
    ปี 2556 มีแนวโน้มจะมีอัพไชด์กำไรเพิ่มเติมร่วมอีก 100-175 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ กำไรรวมพุ่งขึ้นถึง 300-400 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.19-0.25 บาท) จากที่ดินเปล่า บริเวณ อยู่บริเวณ รามอินทรา ใกล้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เนื้อที่ 55 ไร่ ซื้อมาไร่ละ ประมาณ 1.8 ล้านบาท มูลค่ารวม 99 ล้านบาท โดยราคาตลาดในปัจจุบันได้พุ่งขึ้นมา เป็นประมาณ 4-5 ล้านบาท/ไร่ ซึ่ง SYNTEC มีทางเลือกที่จะขายที่ดิน หรือ พัฒนา โครงการ
    คาดกำไรไตรมาส 1/55 จะยังไม่โดดเด่น มีกำไรเพียง 20 ล้านบาท:
    แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/55 เราประเมินจะมีการรับรู้รายได้งานก่อสร้างประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสก่อนและปีก่อนเล็กน้อย ที่มียอดรับรู้รายได้ 1,085-1,092 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 7.0-7.5% เนื่องจากเป็นงานต่อเนื่องจากไตรมาส 4/54 รวมถึงมีการเก็บงานที่มีปัญหาทำให้ต้นทุนสูงกว่าปกติ และ จะทำให้มีกำไรสุทธิประมาณ 20 ล้านบาท ดีกว่าไตรมาส 4/54 ที่มีกำไร เพียง 1 ล้านบาท แต่แย่กว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 37 ล้านบาท
    หุ้นซื้อขาย P/E ต่ำ และ ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาก แนะนำซื้อ ลงทุน:
    ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 0.88 บาท ซื้อขาย P/E ปี 2555 ที่ต่ำเพียง 7.04 เท่า และ ต่ำกว่ามูลค่าตาม บัญชีต่อหุ้นซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.43 บาท มาก รวมถึงเป็นหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สิน สุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.11 เท่า แนวโน้มราคาหุ้นคาดจะมีอัพไชด์ จากแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้จะพลิกฟื้นกลับมาสู่ระดับปกติ จากงานในมือทำสถิติสุงสุดใหม่ ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อ โดยมองข้ามผลประกอบการไตรมาสแรกซึ่งจะยังไม่ดีหนัก แต่ช่วงที่ เหลือของปีจะดีขึ้นมาก เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 1.20 บาท บนฐาน P/E ปี 2555 เท่ากับ 10 เท่า
    by  Surachai  

    Read more »