แนวโน้มตลาดในสัปดาห์นี้ (10-12 เม.ย.)
ซึ่งมีวันทำการเพียง 3 วัน และ จะหยุดยาวอีก 4 วัน ในเทศกาลสงกรานต์ คาดจะทำให้นักลงทุนชะลอ ตัวการซื้อขาย คาดจะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางลง เรามีมุมมองตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของเดือน เม.ย. มีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงของการแกว่งตัวปรับฐาน โดยบริเวณ Forward P/BV เท่ากับ 2.01x ซึ่ง
เป็นกลุ่ม Peak ของ P/BV ในอดีต หรือ SET บริเวณ 1200-1229 จะผ่านค่อนข้างลำบาก ทำให้ตลาดมีความผันผวนเมื่อขึ้นไปทดสอบบริเวณดังกล่าว โดยมีตัวแปรที่จะทำให้ตลาดในช่วงที่เหลือของเดือน เม.ย. เข้าสู่ช่วงของการแกว่งตัวปรับฐานคือ 1.) การเลือกตั้งในฝรั่งเศส สองรอบ คือ วันที่ 22 เม.ย. และ วันที่ 6 พ.ค. ปัจจุบันนาย ฮอลลองด์ มีคะแนนนำ ซาร์โกซี ซึ่งจะมีผลในแง่ การควบคุมงบประมาณของฝรั่งเศส เพื่อให้เป็นตามข้อกำหนด และ การที่นายฮอลลองด์ มีคะแนนนำทำให้ตลาดกังวลที่ฝรั่งเศสจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง และ อาจจะมีผลต่อการใส่เงินของเยอรมนีที่จะเข้ากองทุนในอนาคต 2.) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐวันที่ 24-25 เม.ย. มีแนวโน้มจะต่อ Operation Twist และ หรือมี Mortgage Back Securities Buying กรณีนี้จะทำให้เงินออกจากหุ้นไปสู่พันธบัตร และ ตัวแปรที่สำคัญ อีกประการคือ การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของจีน ในวันที่ 13 เม.ย. ซึ่งตลาดคาดจะชะลอตัวลงเหลือ 8.4% จากไตรมาสสี่ 8.9% ถ้าลงไปต่ำกว่าคาดมากอาจจะเกิดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ คาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้: 1,160-1,200 จุด SET Index ณ ,182.41 จุด สัปดาห์นี้เราจึงเลือกหุ้น AMATA, CPF, TOP
AMATA (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 21 บาท): ผู้บริหาร AMATA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6-7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรก บริษัทมียอดขายที่ดินเกือบ 1 พันไร่ ทำให้มั่นใจว่า ยอดขายปีนี้จะได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 3 พันไร่ สำหรับยอดขาย นิคมฯ ไทย-จีน หรือบริษัท ไทยจีนอุตสาหกรรมระยองเซอร์วิส ที่บริษัทได้ร่วมทุน กับบริษัทโฮลลี (HOLLY) ของจีนพัฒนาในพื้นที่ของนิคมฯ อมตะซิตี้จำนวน 1 พันไร่ ในสัดส่วน 51% : 49% ก็มีโอกาสที่จะขยายพื้นที่พัฒนาเป็น 2 พันไร่ ทำให้แนวโน้มปีนี้มีโอกาสจะปรับเป้าเพิ่มขึ้น นอกจากนนี้ AMATA ยังสนใจที่จะเข้าลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศพม่า โดยโอกาสการลงทุนอยู่ที่ทวายแต่จะศึกษาข้อมูลก่อน 3-4 ปี ซึ่งในการลงทุนเบื้องต้นนั้น คาดใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 200 ล้านดอลลาร์ แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้และปีหน้า คาดจะเติบโตโดดเด่น ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 21 บาท
-
CPF (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 45 บาท): ธุรกิจในจีนและเวียดนามของ CPP Hong Kong ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับต้น ๆ ในธุรกิจอาหาร สัตว์และฟาร์มเลี้ยง โดยเราคาดว่า CPF จะใช้เป็นฐานในการต่อยอดไปยังธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะ ช่วยให้ Gross Margin ปรับตัวดีขึ้นมาใกล้เคียงกับ CPF นอกจากนี้ สหภาพยุโรปอนุมัตินำเข้าเนื้อไก่สดแช่แข็งจากไทย ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 2 ก.ค.55 เป็นต้นไป จะส่งผลบวกต่อ CPF เราชอบ CPF ที่สุดในกลุ่มอาหาร เพราะมีค่า PEG ต่ำที่สุด จึงยังแนะนำซื้อ กำหนดราคาเหมาะสม เท่ากับ 45 บาท
-
TOP (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 85 บาท): ปี 2555 คาดว่า TOP มี Upside มากในส่วนของธุรกิจการกลั่น เราคาดการณ์ค่าการกลั่นเฉลี่ยใน ปี 2555 เท่ากับ 7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เฉพาะธุรกิจการกลั่นในไตรมาส 1/55 ถือว่าทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยคือ Real GRM+Stock Gain ทำได้ แล้ว 8 เหรียญฯ เราคาดว่าสเปรดพาราไซลีนทรงตัวในระดับที่ดีจะหนุนกำไรช่วง 1H55 ดี แนะนำซื้อ TOP ให้มูลค่าเหมาะสม 84 บาท อิงค่าPER ในปี 2555 ที่ 10 เท่า เลือกใช้วิธีนี้แทนที่จะใช้วิธี DCF ซึ่งได้มูลค่า 91 บาท เนื่องจากลักษณะของกำไรเข้าในแต่ละปี และแต่ละไตรมาสยังไม่สม่ำเสมอ มีความเป็นคอมมอดิตี้สูง (ทำให้กำไรผันผวน) แต่ปันผลจูงใจ ในระดับ 5% ต่อปี

0 comments:
Post a Comment