Showing posts with label Surachai. Show all posts
Showing posts with label Surachai. Show all posts

Wednesday, May 2, 2012

Stock Focus,SPALI

บมจ. ศุภาลัย (SPALI)

กำไรไตรมาสแรกจะต่ำ แต่แนวโน้มจะโตโดดเด่น

คาดกำไรไตรมาสแรกจะต่ำเพียง 270 ล้านบาท (-23%qoq, -63%yoy) เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่จะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง ยอด Presale 4 เดือนแรก สูงถึง 6,491 ล้านบาท เนื่องจากโครงการในโซนน้ำท่วมกลับมาเร็วกว่าคาด ทำให้ปรับเป้าปีนี้ขึ้นเป็น 19,000 ล้าน และเมื่อรวมบริษัทย่อยจะสูงถึง 21,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัว 16 โครงการ มูลค่า 17,900 ล้านบาท ก้าวสู่ Nationwide Developer สัดส่วนตลาดต่างจังหวัดปีนี้ 20% เป้า 2-3 ปี 25% Backlog สูง 24,496 ล้านบาท ประเมินยอดรับรู้รายได้ จะเติบโต 7% สู่ระดับ 13,540 ล้านบาท และ คาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,165 ล้านบาท เติบโต 23% ประเมินราคาเป้าหมาย 18.50 บาท ยังพอมีอัพไซด์แนะนำ ซื้ออ่านเพิ่ม….>

แนวรับ   16.2-16.4       แนวต้าน   17.2-17.5

Read more »

Monday, April 30, 2012

Stock Focus,SPALI


SPALI : Key Takeaway

จากการประชุมนักวิเคราะห์

- ยอด Presale ในไตรมาส 1/55 โดดเด่นและสูงถึง 5,607 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนี่ยม 4,239 ล้านบาท และ แนวราบ 1,368 ล้านบาท ยอด Presale ดังกล่าวคิดเป็น 31% ของเป้าปีนี้ 18,000 ล้านบาท สำหรับบริษัทย่อย มียอด Presale สูงถึง 1,492 ล้านบาท เทียบกับเป้า 2,000 ล้านบาท

- ดังนั้น ผู้บริหารจึงปรับเป้ายอด Presale ปีนี้ขึ้นเป็น 19,000 ล้านบาท จากเดิม 18,000 ล้านบาท เมื่อรวมบริษัทย่อย จะมียอด Presale รวมเท่ากับ 21,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.6%

- ในแง่การรับรู้รายได้ (งบการเงินรวม) ในไตรมาสแรกมีการรับรู้รายได้ เพียง 1,506 ล้านบาท เทียบกับเป้าปีนี้ จะมีการรับรู้รายได้รวม 13,500 ล้านบาท (แบ่งเป็น เฉพาะบริษัท 12,500 ล้านบาท และ บริษัทย่อย 1,000 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่จะรับรู้ในครึ่งปีหลัง ทำให้กำไรไตรมาสแรกจะต่ำเพียง 260 ล้านบาท ลดลง 26% จากไตรมาสก่อน และ 65% จากปีก่อน

- โครงการที่อยู่บริเวณน้ำท่วมเริ่มกลับมาประมาณ 70% ของยอดขายปกติ รวมถึง โครงการที่เปิดใหม่อยู่ในโซนน้ำท่วมก็ขายได้มากกว่าคาด



- ปีนี้จะมีสัดส่วนยอดขายในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น 20% เทียบกับปีก่อน มีสัดส่วน 14% ส่วนด้านรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 16% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 13%

- ตัวเลข Backlog ในมือ 24,496 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ 8,862 ล้านบาท คิดเป็น 71% เมื่อเทียบกับเป้า รายได้ที่จะรับรู้ในปีนี้12,500 ล้านบาท

- ปี 2555 SPALI จะเปิดตัวทั้งหมด 16 โครงการ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 8,420 ล้านบาท และ แนวสูง 5 โครงการ มูลค่า 9,480 ล้านบาท

- แนวโน้มในปีนี้เราประเมินยอดรับรู้รายได้เท่ากับ 13,540 เพิ่มขึ้น 7% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,075 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.79 บาท) เพิ่มขึ้น 20%

- ภายใต้ P/E เท่ากับ 10 เท่า จะได้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 18 บาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ
Surachai Pramualcharoenkit

Read more »

Monday, April 23, 2012

Stock Focus,DRT,24.Apr.2012.,


บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT)

คาดผลประกอบการไตรมาส1/55ทำสถิติสูงสุดใหม่

คาดผลประกอบการไตรมาส1/55ทำสถิติสูงสุดใหม่ 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.18 บาท) (+120%qoq, +43%yoy) แรงหนุนความต้องการในตลาดต่างจังหวัดและ มีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท แนวโน้มปี 2555 จะได้แรงหนุนจากการบูรณะซ่อมแซม กำลังการผลิตใหม่ NT-10 ที่เน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้เข้ากลางปี คาดกำไรปี 2555 จะเติบโต 32% ขยายการลงทุน เพื่อกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากขึ้น จะเสริมการเติบโตในอนาคต หุ้น DRT เป็นหุ้นประเภทปันผล จ่ายปันผลปีละสองครั้ง คาดปันผลปี 2555 ประมาณ 0.46 บาท หรือ คิดเป็นเงินปันผลตอบแทน 7.6%แนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล ราคาเป้าหมาย 7.1 บาท
  • คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ 187 ล้านบาท :
    บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เราประเมินผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะมีกำไรปกติที่โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดได้ใหม่ ถึง 142 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.14 บาท) เพิ่มขึ้น 66% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้จะมีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท เมื่อรวมรายการพิเศษนี้จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.18 บาท) พุ่งขึ้น 120% จากไตรมาสก่อน และ 45% จากปีก่อน ผลประกอบการที่โดดเด่นดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากความต้องการ หลังคากระเบื้อง ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ต่างๆ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัด และ ได้แรงหนุนจากการส่งออกไปประเทศแถบเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และ พม่า ทำให้ยอดขายปรับตัวสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่เป็น 1,035 ล้านบาท (+20%qoq, +9%yoy) การผลิตในระดับ 90% ของกำลังการผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นปรับขึ้นมาเป็น 31.25% ใกล้เคียงปีก่อน 32% แม้ว่าต้นทุนในด้านต่างๆจะปรับตัวสูงขึ้น และ ปรับขึ้นจากไตรมาสสี่มากซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 29.3%
  • ฐานะลูกค้ากระจายตัวสู่ Modern Trade และ ส่งออกมาขึ้น : ลูกค้า Modern Trade เช่น ไทวัสดุ และ GLOBAL มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และ เติบโตสูง ซึ่งผลิตภัณฑ์ตราเพชร ได้เข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Modern Trade มากขึ้น ซึ่ง Modern Trade นี้จะไม่ขายผลิตภัณฑ์ตราช้าง คาดจะช่วยเสริมการเติบโตของ DRT โดยสัดส่วนของ Modern Trade ปีนี้คาดจะปรับขึ้นมาเป็น 7-8% จากปีก่อนเพียง 2-3% ส่วนตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ เขมร ลาว และ พม่า ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 12% และ จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในอนาคต จากปีก่อนมีสัดส่วนส่งออกประมาณ 9.9% สำหรับลูกค้าหลักของบริษัทยังคงเป็น เอเย่นต์ จะมีสัดส่วนประมาณ 74% ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วนสูงถึง 80%
  • สายการผลิตใหม่ 10 (NT-10) แล้วเสร็จแล้ว 90% : ในปี 2553-2554 ที่ผ่านมากำลังการผลิตใหม่ สายการผลิต NT-9 เน้นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ ได้รับการตอบรับมากกว่าคาด ต้องผลิตเต็มกำลังการผลิต ทำให้ทาง DRT ต้องลงทุนสายการผลิตที่ 10 เพิ่มเติมด้วยเงินลงทุน 480 ล้านบาท เน้นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์เช่นเดียวกับสายการผลิตที่ 9 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต 72,000 ตัน จากปัจจุบัน 680,000 ตัน ปัจจุบันได้สร้างแล้วเสร็จ แล้วกว่า 90% คาดจะเริ่มทดสอบการผลิตได้ในเดือน พ.ค. 2555 นี้ และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือน มิ.ย. 2555 และ ไตรมาส 3/55 คาดจะใช้กำลังการผลิตได้เกือบเต็ม 100% เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีความต้องการที่สูง ทั้งในและต่างประเทศ โดยในปีนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 200-300 ล้านบาท และ ในปี 2556 จะเพิ่มยอดขายประมาณ 500 ล้านบาท
  • กำลังศึกษาเตรียมลงทุนเพิ่ม NT-11, NT-12 และ อิฐมวลเบาโรงที่ 2 : บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์พื้นลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปชั่ม และ บริการหลังการขาย โดยเป้าหมายของ DRT ต้องการที่จะกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากขึ้น ซึ่งในอดีตมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์หลังคาสูงถึง 80% ปัจจุบันได้ลดลงเหลือ 70% และ ในอนาคตจะลดลงอีกเหลือ60% ปัจจุบัน DRT ได้ลงทุนในโครงการอิฐมวลเบา มูลค่าลงทุน ค่าก่อสร้าง และซื้อเครื่องจักรประมาณ 595 ล้านบาท ในขณะที่ ที่ดิน ได้ซื้อไว้ก่อนหน้านี้เท่ากับ 117 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าโครงการ 712 ล้านบาท เงินลงทุนจะประกอบด้วย กระแสเงินสดภายใน 212 ล้านบาท และ กู้ยืมจากสถาบันการเงิน 500 ล้านบาท มีกำลังการผลิต140,000 ตันต่อปี คาดจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสสองปี 2556 และจะทำรายได้ประมาณ 300-500 ล้านบาทต่อปี คาดหวังอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 12-15% นอกจากนี้กำลังศึกษาเตรียมลงทุนเพิ่ม ผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ NT-11, NT-12 และ อิฐมวลเบาโรงที่ 2
  • แนวโน้มปี 2555 คาดยอดขายจะโต 12% และ กำไรพุ่ง 32% : แนวโน้มผลประกอบการของ DRT ในปี 2555 เราประเมินยอดขายจะสามารถขยายตัวได้เท่ากับ 12% สู่ระดับ 4,141 ล้านบาท โดยจะเป็นปริมาณขายเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% และ ราคาขายเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ NT-10 ที่จะเข้ามาประมาณกลางปี ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ จะช่วยเพิ่มยอดขายอีก 200-300 ล้านบาท บวกกับการขยายสาขาโมเดิร์นเทรด เช่น ไทวัสดุ และ GLOBAL ซึ่งจะไม่ขายสินค้าจากเครือซิเมนต์ไทย จะเอื้อประโยชน์ต่อ DRT ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าต้นทุนแรงงานจะปรับเพิ่มขึ้น แต่มีการปรับขึ้นราคา และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาระดับได้ เมื่อรวมกับภาษีที่จะปรับลดลงจาก 30% เหลือ 23% และ รายการพิเศษจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท จะทำให้กำไรของ DRT ในปี 2555 มีการเติบโตที่ดี ประมาณ 32% สู่ระดับ 607 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.59 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 564 ล้านบาท จากรายการพิเศษขายที่ดินได้กำไร 45 ล้านบาท
  • หุ้นปันผล แนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุน เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 7.1 บาท:
    DRTเป็นหุ้นประเภทปันผล โดยจะจ่ายปันผลปีละสองครั้ง เราประเมินจะจ่ายเงินปันผลในปี2555 เท่ากับ 0.46 บาท หรือ คิดเป็น เงินปันผลตอบแทน 7.6% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจเราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 7.1 บาท โดยเทียบกับฐานเงินปันผล 6.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย 6.7 บาท ดังนั้นเราแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล
  • สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,DRT,20.Apr.2012.,


    DRT (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 6.7 บาท) :

    Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

    - ผลประกอบการไตรมาส 1/54 คาดจะมีกำไรปกติที่โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดได้ใหม่ ถึง 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้มีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท เมื่อรวมรายการพิเศษนี้จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.19 บาท) พุ่งขึ้น 120% จากไตรมาสก่อน และ 45% จากปีก่อน ผลประกอบการที่โดดเด่นดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากความต้องการ หลังคากระเบื้อง ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ต่างๆ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัด และ ได้แรงหนุนจากการส่งออกไปประเทศแถบเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และ พม่า ทำให้ยอดขายปรับตัวสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่เป็น 1,035 ล้านบาท (+20%qoq, +9%yoy) การผลิตในระดับ 90% ของกำลังการผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นปรับขึ้นมาเป็น 31.25% ใกล้เคียงปีก่อน 32% แม้ว่าต้นทุนในด้านต่างๆจะปรับตัวสูงขึ้น และ ปรับขึ้นจากไตรมาสสี่มากซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 29.3%

    - แนวโน้มปี 2555 ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายจะเติบโต 13% โดยจะได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ NT-10 ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายไตรมาส 2/55 นี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 300 ล้านบาท และ จะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท ในปี 2556 นอกจากนี้ คาดจะได้แรงหนุนจากตลาดส่งออกที่เพิ่มสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 3-4 ซึ่งเป็น ช่วงโลซีซั่นของตลาดในประเทศ จะผลักดันส่งออกมากขึ้น โดยปีนี้ตลาดส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12% จากปีก่อนประมาณ 10% และ ในอนาคตคาดจะปรับขึ้นเป็น 15%

    - การขยายตัวของร้านวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ อย่าง ไทวัสดุ และ GLOBAL ซึ่งปัจจุบัน DRT เป็นพันธมิตรในการส่งสินค้าให้ จะเป็นอีกช่องทางที่เพิ่มยอดขายให้ DRT โดยคาดสัดส่วนของร้านวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ จะเป็นขึ้นเป็น 7% ในปีนี้ จากปีก่อน 2-3%

    - ปัจจุบันสินค้าของ DRT กระจายครบวงจรมากขึ้น จากเดิมจะเน้นจะเฉพาะหลังคา โดยมีสินค้าต่างๆ คือ ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปชั่ม และ บริการหลังการขาย ร่วมมือกับ แฮดเลย์ กรุ๊ป จากอังกฤษ ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูป และ ธุรกิจผนังสำเร็จรูป Diamond Wall โดยในปี 2556 จะมีคอนกรีตมวลเบาเข้ามาเสริม ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 500-600 ล้านบาท ทำให้คาดสัดส่วนยอดขายผลิตหลังคาจะลดลงเหลือ 60% จาก ปัจจุบัน 70% และ เทียบกับในอดีตที่มีสัดส่วนสูงถึง 80%

    - DRT เป็นหุ้นประเภทปันผล โดยจะจ่ายปันผลปีละสองครั้ง เราคาดจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 0.43 บาท หรือ คิดเป็น เงินปันผลตอบแทน 7.3% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 6.7 บาท ดังนั้นเราแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล
    Surachai Pramualcharoenkit

    Read more »

    Friday, April 20, 2012

    Stock News,ยอดการผลิตรถ,20.Apr.2012.,


    ผลิตและขายรถเดือนมี.ค.ทำสถิติสูงสุดใหม่

    เดือน มี.ค. มียอดผลิตรถยนต์พุ่งสูงถึง 190,935 คัน และ มียอดขายในประเทศ 110,928 คัน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าค่ายรถยนต์ Honda จะยังไม่กลับมาผลิต แนวโน้มปี 2555 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน หรือ เติบโต 44-47% สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศค่ายโตโยต้าประเมินจะสูงถึง 1.1 ล้านคัน เติบโต 38.5% คาดกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์จะได้ประโยชน์ จากการเติบโตสูงในอุตสาหกรรมรถยนต์ แนะนำ หุ้น AH (เป้าหมาย 15 บาท) , SAT (เป้าหมาย 30 บาท), STANLY (เป้าหมาย 200 บาท)

  • ยอดผลิตรถยนต์ทำสถิติสูงสุดใหม่ 190,935 คัน: กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2555 มีทั้งสิ้น 190,935 คัน สูงสุดนับตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ปี พ.ศ.2504 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.01% และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 13.5% สำหรับไตรมาส1/55 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ มีจำนวนทั้งสิ้น 499,560 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.52%
  • แนวโน้มไตรมาส 2/55 จะชะลอตัว : ส.อ.ท. ได้ประมาณการผลิตรถยนต์ในไตรมาส
    2/55 มีจำนวน 477,777 คัน เปรียบเทียบกับยอดผลิตจริง ไตรมาส 1/55 จะลดลง 4.36% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะพุ่งขึ้นถึง 39.85% เนื่องจากปีก่อนมีปัญหาสึนามิในญี่ปุ่น สำหรับแนวโน้มปี 2555 ประเมินยอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 2.1-2.3 ล้านคันเติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เพียง 1.46 ล้านคัน เนื่องจากปีก่อนถูกกระทบทั้งสึนามิในญี่ปุ่น และ ปัญหาน้ำท่วมในไทย

  • ตลาดรถยนต์ในประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 110,928 คัน โต 19.3% :
    สถิติการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ประจำเดือน มีนาคม 2555 มีปริมาณการขาย110,928 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 19.3% และ มากกว่าเดือนก่อน 21.48% ค่ายรถโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในเมืองไทยยังคงมีความต้องการอยู่อย่างมาก และ มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องจากค่ายรถยนต์ต่างๆ ด้วยการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ ตลอดจนนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย จะมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.1 ล้าน คัน เติบโตสูงถึง 38.5% ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยจะมียอดขายรถยนต์เกิน 1 ล้านคันต่อปี
  • คงมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้ :
    ตัวเลขยอดผลิตปัจจุบันค่ายรถยนต์ต่างๆได้กลับมาผลิตเต็ม 100% และ ยังบวกด้วยโอที เนื่องจากยังมียอดรถจองที่ค้างส่งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยค่ายรถยนต์ฮอนด้าที่เริ่มกลับมาผลิตปลายเดือน มีนาคม หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมในไตรมาสสี่ปีก่อน โดยแนวโน้มปี 2555 คาดค่ายรถยนต์ต่างๆจะกลับมาผลิตสูงกว่าระดับปกติ ทำให้คาดจะเติบโตโดดเด่น

  • นอกจากนี้เราคาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะยังได้แรงหนุนจาก นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อ และ ค่ายรถต่างๆมีการเปิดตัวรถอีโค-คาร์มากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆยังยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งออก ทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้จะเติบสูง โดยสถาบันยานยนต์ และ สภาอุตสาหกรรมประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน เติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 1.46 ล้านคัน และ ค่ายโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในนี้จะพุ่งขึ้นถึง 1.1 ล้านคัน เติบโตถึง 38.5% สำหรับหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่เราศึกษา และ แนะนำ ซื้อ ได้แก่ AH(ราคาเป้าหมาย 15 บาท), SAT (ราคาเป้าหมาย 30 บาท) และ STANLY (ราคา เป้าหมาย 200 บาท) แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับขึ้นมารับข่าวด้านบวกค่อนข้างมาก นับตั้งแต่ต้นปี พุ่งขึ้นมา 23-37%

    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Wednesday, April 18, 2012

    Stock Focus,BSBM,18.Apr.2012., 14.22

    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    ถ่าน" ทำให้ นาฬิกา "เดินไป" ... "กำลังใจ" ทำให้ คน"เดินต่อ

    BSBM (ถือ)

    Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

  • คาดผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะมีกำไรเพียง 1 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 1 ล้านบาท แต่แย่ลงมากจากปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 59 ล้านบาท เนื่องจากภาวะความต้องการเหล็กเส้นที่ค่อนข้างซบเซา ราคาขายอ่อนตัวลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ทรงตัว
  • สถานการณ์ยอดขายเหล็กเส้นในไตรมาสแรกไม่ได้ดีขึ้น ตามที่คาดหวังว่าจะได้อานิสงส์จากการบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม และ แม้ว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่น โดยปริมาณขายเหล็กเส้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 23,726 ตัน (+61%qoq, -35%yoy) ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับระดับกำลังการผลิต 720,000 ตัน ต่อปี หรือ คิดเป็น 180,000 ตันต่อไตรมาส
  • จากความต้องการที่ต่ำ ทำให้ราคาขายเหล็กเส้นเกรดทั่วไปอ่อนตัวลดลงเล็กน้อย โดยราคาขายเฉลี่ยประเมินจะอ่อนตัวลงเหลือ 22,800-22,900 บาท/ตัน จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสก่อนอยู่ที่ 23,000 บาท/ตัน ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ค่อนข้างทรงตัวที่ 640-650 เหรียญ/ตัน ทำให้สเปรด ระหว่างราคาขาย และ Billet อยู่ในระดับต่ำเพียง 2,933 บาท/ตัน ซึ่งเป็นระดับเพียงคุ้มทุนเท่านั้น
  • แนวโน้มในระยะใกล้ยังไม่มีสัญญาณกระเตื้องขึ้นมากนัก โดยความต้องการยังต่ำ และ ในไตรมาส 2/55 จะเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น ทำให้คาดหมายแนวโน้มผลประกอบการจะเพียงเป็นจุดคุ้มทุน หรือ มีกำไรเล็กน้อย จากราคาขายเฉลี่ยปัจจุบันปรับขึ้นจากไตรมาสแรกเล็กน้อย ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ค่อนข้างทรงตัวที่ 640-650 เหรียญ/ตัน
  • อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันที่ 1.30 บาท ซื้อขายบนการคาดหวังที่ต่ำอยู่แล้ว เพราะ ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นที่ 1.70 บาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ถือ
  • Read more »

    Stock Focus,SSI,18.Apr.2012.,

     


    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    ถ่าน" ทำให้ นาฬิกา "เดินไป" ... "กำลังใจ" ทำให้ คน"เดินต่อ

    บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI)

    SSI-UK เริ่มจุดไฟเตาถลุงแล้ว

    โรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ SSI-UK ได้จัดพิธีการจุดเตาถลุงเหล็ก Redcar โรงงาน SSI Teesside ขึ้นเมื่อวัน 15 เมษายน 2555 ซึ่งมีความล่าช้ามาต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2554 คาดช่วงแรกการผลิตต้นทุนต่อหน่วยจะสูงกว่าปกติ จาก SSI ยังต้องรับภาระ ค่าใช้จ่ายของพนักงานของ SSI-UK ที่อังกฤษที่สูง รวมถึงภาระดอกเบี้ย จึงทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 1/55 จะยังขาดทุนหนัก และ จะส่งผลต่อเนื่องไตรมาส 2/55 จะยังขาดทุน แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายแบบมีส่วนลดจากมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ปี 2554 ซึ่งอยู่ที่1.31 บาท มาก คงคำแนะนำ ถือ ประเมินราคาเป้าหมาย 1 บาท
  • SSI เริ่มผลิตโรงถลุงเหล็ก Redcar Blast Furnace ที่โรงงาน SSI Teesside แล้ว:
    บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสทรี (SSI) ได้แจ้งข่าวผ่านเวบไซต์บริษัท ระบุว่า โรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ SSI-UK ได้จัดพิธีการจุดเตาถลุงเหล็ก Redcar โรงงาน SSI Teesside ขึ้นเมื่อวันที่15 เมษายน 2555 เตาถลุงซึ่งได้หยุดดำเนินการผลิตมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 หรือ 26 เดือนก่อน ได้ถูกเติมวัตถุดิบ อาทิ แร่เหล็กและถ่านโค้ก และได้ถูกจุดไฟให้เกิดการเผาไหม้โดยก๊าซร้อนที่อุณหภูมิ 1,200 องศาเซลเซียส โดยในเวลาอีกไม่กี่วันน้ำเหล็กดิบก็จะมาถึงหน่วยผลิตเหล็กกล้าและจะได้รับการหล่อเป็นเหล็กแท่งแบนแท่งแรก
  • คาดจะต้องใช้เวลาถึงไตรมาสสี่ จึงจะเริ่มผลิตเต็มประสิทธิภาพ: SSI-UK เป็นโรง
    ถลุงขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิต 3.6 ล้านตัน ซึ่งจะส่งวัตถุดิบ Slab ให้ SSI ประมาณ 2 ใน3 และ อีก 1 ใน 3 จะขายให้บริษัทั่วไป โดยก่อนหน้านี้ กำหนดการเดิม SSI-UK จะเริ่มผลิตในเดือน ธ.ค. 2554 โดยตั้งเป้าจะผลิต 3.3 ล้านตันในปี 2555 (แบ่งเป็น 0.7 ล้านตันใน1Q55, 0.8 ล้านตันใน 2Q55, 0.9 ล้านตันใน 3Q55 และ 0.9 ล้านตันใน 4Q55) แต่มีความล่าช้าออกไปร่วม 4 เดือน ดังนั้น เราคาดจะต้องใช้เวลาถึงไตรมาสสี่จึงจะเริ่มผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ จะทำให้ SSI ยังต้องรับภาระ ค่าใช้จ่ายของพนักงานของ SSI-UK ที่อังกฤษที่ค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานอยู่ 1,700 คน และ จะเพิ่มเป็น 1,800 คน ในอนาคตรวมถึงภาระดอกเบี้ย และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 1/55 และ 2/55 จะยังขาดทุนหนักต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปี 2554
  • แนะนำ ถือ ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 1 บาท : ราคาหุ้น SSI ปัจจุบันที่ 0.75 บาท ซื้อขายแบบมีส่วนลดจากมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 1.31 บาท เป็นอย่างมาก หรือ มีค่า P/BV ต่ำเพียงเพียง 0.57 เท่า โดยผลประกอบการที่คาดจะขาดทุนหนักต่อในไตรมาส 1/55 และ คาดจะยังขาดทุนต่อเนื่องใน ไตรมาส 2/55 รวมถึงภาวะที่ซบเซาของหุ้นในกลุ่มเหล็กทั่วโลก ทำให้ยังไม่น่าสนใจ เราคงคำแนะนำ ถือ ประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 1 บาท บนฐาน Forward P/BV เท่ากับ 0.8 เท่า โดยให้ส่วนลดจากเฉลี่ย Forward P/BV ในอดีตเท่ากับ 0.92 เท่า
  • สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,CK,18.Apr.2012.,

     


    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    ถ่าน" ทำให้ นาฬิกา "เดินไป" ... "กำลังใจ" ทำให้ คน"เดินต่อ

    บมจ. ช. การช่าง (CK)

    แจ้งการลงนามก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี

    แจ้งการลงนามสัญญาจ้างกับบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด มูลค่าโครงการรวม 76,000 ล้านบาท ทำให้งานในมือ ปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น สูง 119,933 ล้านบาท และคาดจะได้งานขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก เนื่องจากในอนาคตจะมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆอีกมาก สนับสนุนการเติบโตในและ CK Power กำลังปรับโครงสร้างเตรียมเข้าตลาดปี 2555 ช่วยเพิ่มมูลค่าราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขาย P/E ปี 2555 ค่อนข้างสูงเท่ากับ 34.8 เท่า รวมถึงมีภาระหนี้สุทธิต่อทุนที่สูงเท่ากับ 2.78 เท่า แต่เนื่องจากมีประด็นข่าวในด้าน บวกชนะประมูลโครงการต่างๆ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 9 บาท
  • แจ้งการลงนามสัญญาจ้างกับบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด: บมจ. ช. การช่าง(CK) ได้แจ้งต่อตลาดฯ เช้านี้ระบุว่า บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด (บริษัทย่อย) ได้ลงนามในสัญญา Engineering, Procurement and Construction Contract for the Xayaburi Hydroelectric Power Project เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีใน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กับ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด โดยเริ่มงานก่อสร้าง 15 มีนาคม 2555 มีมูลค่าสัญญาประมาณ 51,824.64 ล้านบาท และ 711.04 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริการะยะเวลาแล้วเสร็จ ประมาณ 96 เดือน
  • งานในมือ ปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น สูง 119,933 ล้านบาท และ อนาคตจะได้งานขนาด
    ใหญ่เพิ่มเติมอีก: งานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 4/54 เท่ากับ 43,933 ล้านบาท เมื่อรวมโครงการขนาดใหญ่ฝายน้ำล้นไชยะบุรี และ โรงไฟฟ้าพลังน้ำไชยะบุรี ในประเทศลาว มีมูลค่าโครงการสูงถึง 76,000 ล้านบาท ทำให้งานในมือพุ่งขึ้นเป็น 119,933 ล้านบาท และ กำลังรอผลงานประมูลอีก 2 โครงการมูลค่ารวม 30,000 หมื่นล้านบาท โดยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ CK จะเข้าไปประมูลงานเพิ่มเติมในอนาคต ได้แก่ 1.)โครงการที่ทาง CK มีการพัฒนาขึ้นมาเองโดยเฉพาะ เช่น โครงการเขื่อนในประเทศลาว127,000 ล้านบาท 2.) โครงการพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell 3.) โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ 6 แสนกว่าล้านบาท 4) โครงการรถไฟความเร็วสูง 5.) โครงการ Motorway มูลค่าโครงการ 179,332 ล้านบาท และ 6.) โครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 62,503 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2555 เราคาดผลการดำเนินงานจะพลิกฟื้น ประเมินยอดรับรู้รายได้จากงานก่อสร้าง จะเพิ่มขึ้น 37% เป็น 14,974 ล้านบาท และ มีผลการดำเนินงานปกติที่มีกำไรเท่ากับ 384 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท) เทียบกับปี 2554 ที่ขาดทุนเท่ากับ 1,355 ล้านบาท
  • หุ้นซื้อขาย P/E สูง และ ภาระหนี้สูง แต่มีประเด็นข่าวบวก แนะนำ ซื้อเก็งกำไร :
    ราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขาย P/E ปี 2555 ค่อนข้างสูงเท่ากับ 34.8 เท่า รวมถึงมีภาระหนี้สุทธิต่อทุนที่สูงเท่ากับ 2.78 เท่า เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 9 บาท บนฐาน Forward P/BV ปี 2555 เท่ากับ 2.1 เท่า แต่เนื่องจากในช่วงนี้มีประเด็นข่าวในด้านบวกเกี่ยวกับการชนะประมูลโครงการต่างๆ จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
  • สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,SIRI,18.Apr.2012., 10.40

     

    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    ถ่าน" ทำให้ นาฬิกา "เดินไป" ... "กำลังใจ" ทำให้ คน"เดินต่อ

    บมจ. แสนสิริ (SIRI)

    คอนโดฯ หัวหิน กวาดยอดขายรวม 2,330 ลบ.

    โครงการคอนโดมิเนียมที่หัวหิน กวาดยอดขายรวม 2,330 ล้านบาท ไตรมาสแรกของปี 2555 SIRI สามารถปิดยอดขาย (Presale) ได้สูงถึง 12,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดภายในไตรมาสเดียว รวมแล้วเพียง 3 เดือนเศษๆ มียอด Presale รวมเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 45% ของเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีเท่ากับ 32,000 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตจากปีก่อนถึง 47% ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัว 44 โครงการ มูลค่า 45,168 ล้านบาท Backlog สูงถึง 35,160 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ปีนี้ 28,000 ล้าน (โต 40%) คาดผลประกอบการปี 2555 จะโดดเด่นหุ้นซื้อขาย P/E ต่ำ ก้าวสู่ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ มีแบนด์แข็งแกร่งขึ้น แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 2.50 บาท โดยสมมติปีนี้วอร์แรนท์ใช้สิทธิ 1 ใน 3
  • โครงการคอนโดมิเนียมที่หัวหิน กวาดยอดขายรวม 2,330 ล้านบาท: บมจ. แสนสิริ (SIRI) เปิดเผย 4 โครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศที่หัวหินประกอบด้วย “บ้านคุ้นเคย บ้านคู่เคียง ซัมเมอร์ และเชโลน่า หัวหิน” รวมมูลค่า 2,930 ล้านบาท รวมทั้งหมด 882 ยูนิต โดยล่าสุด แสนสิริ สามารถปิดการขาย 3 โครงการ “บ้านคุ้นเคย บ้านคู่เคียง และซัมเมอร์ หัวหิน” ได้สำเร็จในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 2,330 ล้านบาท
  • ไตรมาสแรก ปี 2555 ยอด Presale กว่า 12,000 ล้านบาท เป้าปีนี้ 32,000 ล้านบาท
    ไตรมาสแรกของปี 2555 SIRI สามารถปิดยอดขาย (Presale) ได้สูงถึง 12,000 ล้านบาทซึ่งนับว่าเป็นการทุบสถิติการสร้างยอดขายสูงที่สุดที่บริษัทสามารถทำได้ภายในไตรมาสเดียว ดังนั้น เมื่อรวมกับ ยอดขาย 3 โครงการคอนโดที่หัวหินมูลค่า 2,330 ล้านบาทเพียง 3 เดือนเศษๆ จะมียอด Presale รวมเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 45% ของเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีเท่ากับ 32,000 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตจากปีก่อนถึง 47%
  • ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัว 44 โครงการ มูลค่า 45,168 ล้านบาท: ในปี 2555 ทาง SIRI ได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกมากขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดตัวทั้งหมด 44 โครงการ มูลค่ารวม 45,168 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/55 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวไปแล้ว 15 โครงการ มูลค่ารวม14,754 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2555 จะเป็นโครงการในต่างจังหวัด 10 ครงการ มีมูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
  • Backlog สูงถึง 35,160 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ปีนี้ 28,000 ล้าน (โต 40%): SIRI
    มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ หรือ Backlog สูงถึง 35,160 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปี 2555 เท่ากับ 19,111 ล้านบาท ปี 2556 เท่ากับ 13,035 ล้านบาท และ ปี 2557 เท่ากับ 3,014 ล้านบาท และ ปัจจุบันยังมีโครงการทั้งหมด 63 โครงการ มูลค่ารวม 76,310 ล้านบาท มีมูลค่าเหลือขาย 17,979 ล้านบาท เมื่อรวมกับโครงการใหม่ๆที่บางส่วนจะรับรู้ในปีนี้ ทำให้ผู้บริหารของ SIRI ประเมินยอดรับรู้รายได้ในปี 2555 จะสูงถึง 28,000 ล้านบาท หรือ เติบโต 40% แบ่งเป็น ขายโครงการ 27,000 ล้านบาท และ บริการ 1,000 ล้านบาท ส่วนปี 2556 คาดจะเติบโตอีก 30% สู่ระดับ 36,000 ล้านบาท
  • สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Wednesday, April 11, 2012

    Stock Focus,HEMRAJ11.Apr.2012.,

     

    บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ)

    ยอดขายที่ดินนิคมฯไตรมาสแรกสูง928ไร่(+197%)

    ยอดขายที่ดินนิคมฯไตรมาสแรกสูงถึง 928ไร่(+197%yoy) คิดเป็น 55% ของเป้าขายที่ดินทั้งปี 1,700 ไร่ บวกกับ Backlog ในมือ 900 ไร่ กระจายฐานรายได้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงของรายได้ สร้างโรงงานสำเร็จรูปและ
    คลังสินค้าให้เช่า ขยายสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ Gheco-One (HEMRAJ ถืออยู่ 35%) คาดจะเริ่มรับรู้รายได้เดือน พ.ค. สร้างกำไรต่อ HEMRAJ ปีละ 1,400 ล้านบาท ปรับประมาณการขึ้น เราประเมินรายได้ปี 2555 จะเติบโต33% สู่ระดับ 5,500 ล้านบาท และ จะมีกำไรสุทธิสูงถึง 2,193 ล้านบาท โต 309% ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 3.3 บาท
    ยอดขายที่ดินนิคมฯไตรมาสแรกสูง 928ไร่(+197%yoy) : บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1/55 มียอดขายที่ดินจำนวน 928 ไร่ เพิ่มขึ้น 197%จากช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยมีจำนวนสัญญารวม 39 สัญญา แบ่งเป็นลูกค้าใหม่ 32ราย และเป็นการขยายโครงการของลูกค้าที่มีอยู่เดิม 7 ราย โดยในจำนวนนี้กว่า 60% มาจากนักลงทุนญี่ปุ่น และกว่า 33% มาจากกลุ่มยานยนต์
    สร้างโรงานสำเร็จรูป และ คลังสินค้าให้เช่าเพิ่ม : พื้นที่การให้เช่าโรงงานสำเร็จรูป ในไตรมาสที่ 1/55 เพิ่มขึ้น 13,694 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้น 9% จากยอดสะสมเมื่อสิ้นปี 2554 นอกจากนี้ ยังมียอดรวมพื้นที่จากการเช่าล่วงหน้าในปี 2555 อีก 14,000 ตารางเมตร และความต้องการด้านบริการสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นอกจากนี้ การก่อสร้างเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค 1 เฟสที่ 1 จะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการได้ในไตรมาสที่ 2/55 บริษัทจึงประมาณการว่าพื้นที่จากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปและโลจิสติกส์พาร์คจะเพิ่มขึ้น 60% จากยอดสะสมเดิม
    Backlog 900 ไร่ และ ขายเพิ่มอีก 1,700 ไร่: ณ สิ้นปี 2554 HEMRAJ มี Backlog ที่ยกมาจากปีก่อนอีก 900 ไร่ มีมูลค่าสัญญาอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 70% และ ปีนี้ได้ปรับเป้าขายที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ไร่ จากเป้าเดิม 1,500 ไร่ โดยส่วนใหญ่จะขายในครึ่งปีแรกประมาณ 60-70% และ คาดจะใช้เวลาในการโอนประมาณ 4-6 เดือน
    ปรับประมาณการและราคาเป้าหมายขึ้น และ คงคำแนะนำ ซื้อ: ประมาณการเดิมของเราค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และ ยอดขายที่ดินไตรมาสแรกที่สูงถึง 928 ไร่ คิดเป็น 55% ของเป้าทั้งปี ดังนั้น เราจึงปรับประมาณการเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินยอดขายในปี 2555จะเติบโตโดดเด่น 33% สู่ระดับ 5,500 ล้านบาท (ต่ำกว่าที่ผู้บริหารประเมินจะมียอด รายได้ในปีนี้ 5,800 ล้านบาท) และ คาดจะทำให้มีกำไรสุทธิสูงถึง 2,193 ล้านบาท (กำไร ต่อหุ้น 0.23 บาท) เติบโต 309% โดยจะเป็นส่วนแบ่งกำไรจาก Gheco-One ประมาณ 830 ล้านบาท และ เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 3.3 บาท บนฐาน Forward P/E ปี 2555 เท่ากับ 14.50 เท่า ซึ่งเท่ากับ Forward P/E ของ AMATA เราคงคำแนะนำ ซื้อ
    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,SCC,10.Apr.2012., 13.00


    SCC 

    Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

    สรุป คาดผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะยังอยู่ในระดับต่ำ และ ไม่ฟื้นตัวดีหนัก โดยประเมินจะมีกำไรสุทธิเพียงประมาณ 5,500 ล้านบาท เทียบกับ 3,201 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน และ 9,207 ล้านบาท ในปีก่อน เนื่องจาก ถูกกระทบจาก สเปรดในธุรกิจปิโตรเคมีที่ตกต่ำหนัก และ ธุรกิจกระดาษ ที่ถูกกระทบจากภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ ในขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกที่น่าผิดหวังดังกล่าว จะเป็นแรงกดดันในด้านลบต่อราคาหุ้น เราจึงแนะนำ ซื้อ ในช่วงอ่อนตัว โดยเรายังมอง SCC มีศักยภาพที่จะเติบโตในระยะยาว จากมีเงินสดและกระแสเงินสดสูง มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ก้าวสู่ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
    ธุรกิจปิโตรเคมี สเปรด PE-Naphtha ในไตรมาส 1/55 ลดลงเหลือเพียง $376/ton เทียบกับ $441/ton ในไตรมาสก่อน และ PP-Naphtha ลดลงเหลือเพียง $412/ton เทียบกับ $535/ton ในไตรมาสก่อน ส่วนบริษัทร่วมทุนซึ่งทำธุรกิจ PTA, MMA ก็มีสเปรดที่ทรุดลงหลัก ยกเว้น Butadiene ที่มีสเปรดดี โดยธุรกิจปิโตรเคมีมีสัดส่วนกำไรประมาณ 38% จึงเป็นธุรกิจสำคัญที่ฉุดผลประกอบการในไตรมาสแรก
    ธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง จะมีผลการดำเนินงานที่ดี จากความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกที่เติบโตประมาณ 5% และ ราคาขายเฉลี่ยปูนซีเมนต์ที่ปรับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 30-50 บาท/ตัน โดยธุรกิจปูนซีเมนต์ และ วัสดุก่อสร้างปกติไตรมาสแรกจะเป็นช่วงไฮซีซั่น
    ธุรกิจกระดาษ กระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆยังถูกกระทบจากภาคการผลิตที่ยังไม่กลับมาผลิตเต็มที่ ทำให้ผลประกอบการ จะยังยังไม่ฟื้นตัวโดดเด่นจากไตรมาสสี่ และจะทรุดลงจากปีก่อนหนัก แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีคาดจะปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรดปิโตรเคมีที่ตำกว่าจุดคุ้มทุนของหลายโรงงาน ในไตรมาสแรก ทำให้บางโรงงานมีการลดกำลังการผลิตลง ทำให้ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น คือ PE-Naphtha ขึ้นมาที่ 417 เหรียญ/ตัน และ PP-Naphtha ขึ้นมาเป็น 452 เหรียญ/ตัน ซึ่งคาดจะทำให้ผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในช่วงที่เหลือของปี คาดจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากโรงงานต่างๆได้กลับมาผลิตในระดับปกติมากขึ้น จึงทำให้มีความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์มากขึ้น
    ยังตั้งเป้าจะลงทุน 150,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีนี้ จากปัจจุบันมีเงินสดในมือ และกระแสเงินสดสูง เน้นการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน คาดจะช่วยหนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
    By Surachai Pramualcharoenkit

    Read more »

    Thursday, April 5, 2012

    Stock Focus,SYNTEC,5.Apr.2012., 16.25

     

    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    Our greatest glory is not in never falling,
    but in rising every time we fall.

    บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC)

    แนวโน้มผลประกอบการจะพลิกฟื้น หุ้นราคาถูก

    ผู้บริหาร SYNTEC ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 5,200-5,300 ล้านบาท โต 10- 12% ตัวเลขงานในมือยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ณ สิ้นปี 2554 เท่ากับ 6,657 ล้านบาท และ กำลังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท คาดได้งานเพิ่ม 5-5.5 พันล้านบาท เพียงไตรมาสแรกได้งาน แล้ว 2,364 ล้านบาท ไตรมาสแรกกำไรจะยังไม่ดีหนัก แต่คาดกำไรรวมปี 2555 จะพลิกฟื้นกลับมามีกำไรปกติ 200 ล้านบาท (+106%yoy) หุ้นซื้อขาย P/E ปี 2555 ต่ำเพียง 7.04 เท่า และ ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นซึ่งอยู่ที่ ระดับ 1.43 บาท มาก แนะนำ ซื้อ ลงทุน ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 1.2 บาท โดยจะมีอัพไชด์เพิ่มในปีหน้าจากขายที่ดินช่วยเพิ่มกำไร 50-100%
    งานในมือที่ยังไม่ส่งมอบทำสถิติสูงสุดใหม่ 6,657 ล้านบาท: บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (4 เม.ย.) ผู้บริหารเปิดเผยตัวเลข งานในมือปัจจุบันที่ยังไม่ได้ส่งมอบสูงถึง 6,657 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ มีทั้งหมด 29 โครงการ โดยมีโครงการที่ใหญ่สุดคือ UBC-III & EM-2 มูลค่าโครงการ 2,008 ล้าน บาท คาดงานในมือดังกล่าวจะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท
    ปีนี้จะเข้าประมูลงานประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คาดได้งาน 5-5.5 พันล้านบาท:
    ในปี 2555 ทาง SYNTEC กำลังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ทั้งหมด 35 โครงการ เป็นงาน เอกชน 32 โครงการ คาดจะได้งานประมาณ 5-5.5 พันล้านบาท โดยเพียงไตรมาสแรก SYNTEC ได้งานมาแล้วทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ารวม 2,364 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ที่ตั้งเป้าหมายไ
    ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 5,200-5,300 ล้านบาท โต 10-12%: ผู้บริหารประเมิน ยอดรับรู้รายได้งานก่อสร้างในปีนี้ประมาณ 5,200-5,300 ล้านบาท หรือ เติบโต 10-12% และ อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับขึ้นเป็นประมาณ 10% จากปีก่อนที่ลดลงเหลือเพียง 7.1% เนื่องจากปีก่อนถูกกระทบจากน้ำท่วม และ ต้นทุนจากการเก็บงานบางโครงการ
    ค่าแรง 300 บาท จะกระทบต่อต้นทุนโครงการ 3-4%: ปัจจุบัน SYNTEC มีคนงานก่อสร้างประมาณ 4,500 คน โดยต้นทุนค่าแรงงานคิดเป็น 30% ของมูลค่างานที่ SYNTEC ได้รับ ถ้าหากปรับค่าแรงขึ้น 300 บาท คาดจะทำให้ต้นทุนค่าแรงขึ้นประมาณ 15-20% ดังนั้น สุทธิแล้ว คาดจะกระทบต่อต้นทุนโครงการประมาณ 3-4% โดย 5 โครงการใหม่ที่ประมูลได้ในปีนี้มูลค่า 2,364 ล้านบาท ได้บวกต้นทุนส่วนนี้เพิ่มแล้ว ซึ่งจะ มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 10-12%
    คาดผลประกอบการปี 2555 จะพลิกฟื้น: ยอดขาย และกำไรในปี 2554 ถูกกระทบจากปัญหาน้ำท่วม และ บางโครงการที่สร้างเสร็จซึ่งบันทึกต้นทุนแล้ว แต่มีปัญหากับลูกค้า ทำให้ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้ จึงทำให้กำไรปี 2554 ต่ำกว่าปกติเพียง 97 ล้านบาท จากปกติจะมีกำไรปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท เราคาดผลประกอบการปี 2555 จะพลิกฟื้นมาสู่ระดับปกติ โดย ยอดขายคาดจะโต 10% สู่ระดับ 5,200 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 200 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท) โตถึง 106%
    ปี 2556 จะมีอัพไชด์จากการขายที่ดิน หรือ พัฒนาโครงการร่วม 100-175 ล้านบาท:
    ปี 2556 มีแนวโน้มจะมีอัพไชด์กำไรเพิ่มเติมร่วมอีก 100-175 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ กำไรรวมพุ่งขึ้นถึง 300-400 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.19-0.25 บาท) จากที่ดินเปล่า บริเวณ อยู่บริเวณ รามอินทรา ใกล้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เนื้อที่ 55 ไร่ ซื้อมาไร่ละ ประมาณ 1.8 ล้านบาท มูลค่ารวม 99 ล้านบาท โดยราคาตลาดในปัจจุบันได้พุ่งขึ้นมา เป็นประมาณ 4-5 ล้านบาท/ไร่ ซึ่ง SYNTEC มีทางเลือกที่จะขายที่ดิน หรือ พัฒนา โครงการ
    คาดกำไรไตรมาส 1/55 จะยังไม่โดดเด่น มีกำไรเพียง 20 ล้านบาท:
    แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/55 เราประเมินจะมีการรับรู้รายได้งานก่อสร้างประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสก่อนและปีก่อนเล็กน้อย ที่มียอดรับรู้รายได้ 1,085-1,092 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 7.0-7.5% เนื่องจากเป็นงานต่อเนื่องจากไตรมาส 4/54 รวมถึงมีการเก็บงานที่มีปัญหาทำให้ต้นทุนสูงกว่าปกติ และ จะทำให้มีกำไรสุทธิประมาณ 20 ล้านบาท ดีกว่าไตรมาส 4/54 ที่มีกำไร เพียง 1 ล้านบาท แต่แย่กว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 37 ล้านบาท
    หุ้นซื้อขาย P/E ต่ำ และ ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาก แนะนำซื้อ ลงทุน:
    ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 0.88 บาท ซื้อขาย P/E ปี 2555 ที่ต่ำเพียง 7.04 เท่า และ ต่ำกว่ามูลค่าตาม บัญชีต่อหุ้นซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.43 บาท มาก รวมถึงเป็นหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สิน สุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.11 เท่า แนวโน้มราคาหุ้นคาดจะมีอัพไชด์ จากแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้จะพลิกฟื้นกลับมาสู่ระดับปกติ จากงานในมือทำสถิติสุงสุดใหม่ ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อ โดยมองข้ามผลประกอบการไตรมาสแรกซึ่งจะยังไม่ดีหนัก แต่ช่วงที่ เหลือของปีจะดีขึ้นมาก เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 1.20 บาท บนฐาน P/E ปี 2555 เท่ากับ 10 เท่า
    by  Surachai  

    Read more »

    Monday, April 2, 2012

    Stock Focus,TICON,2.Apr.2012., 11.00

     

     

    Lose your dreams
    and you will lose your mind.
    หากคุณทำความฝันหล่นหาย ความคิดของคุณก็จะหายไปด้วย

    บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล

    คอนเน็คชั่น (TICON)

    ขายโรงงาน TFUND บันทึกกำไร 247 ล้านบาท ประสบความสำเร็จ ขายโรงงานให้ TFUND 761.5 ล้านบาท คาดจะบันทึก กำไร 247 ล้านบาท ปี 2555 ตั้งเป้าขาย TFUND และ TLOGIS 4,200 ล้าน บาท รวมถึงก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่ม 250,000 ตรม. จะเพิ่ม รายได้ค่าเช่า โดยเราประเมินรายได้จะพุ่งขึ้น 115% สู่ระดับ 4,295 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ผู้บริหาร TICON ตั้งเป้ารายได้ปี 2555 จะสูงถึง 5,300 ล้านบาท เติบโต 149% และ เราคาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,072 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.35 บาท) เพิ่มขึ้น 146% ทำสถิติสูงสุดใหม่ทั้งยอดขายและกำไร แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 15 บาท

    ขายโรงงานให้ TFUND 761.5 ล้านบาท บันทึกกำไร 247 ล้านบาท : บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ได้แจ้งต่อตลาดฯ ระบุว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ได้ทำการ โอนขายอาคารโรงงานรวม 11 โรงงาน ให้แก่ TFUND แล้ว มูลค่ารวม 761.5 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตามบัญชีของทรัพย์สิน 364.3 ล้านบาท มีมูลค่าคิดเป็น 4.98% เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินรวมของบริษัท โดยผู้บริหาร TICON ได้ให้สัมภาษณ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ ระบุว่าจะบันทึกกำไรรวมประมาณ 343 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อหักสัดส่วนที่ TICON ถือ TFUND 28% จะรับรู้กำไรในส่วน TICON ประมาณ 247 ล้านบาท ในไตรมาส 1/55

    ปีนี้ตั้งเป้าขาย TFUND และ TLOGIS 4,200 ล้านบาท: นอกจากนี้ทาง TICON ตั้ง เป้าจะขาย TFUND และ TLOGIS เพิ่มเติมอีก คือ ประมาณเดือน ส.ค. จะขายคลัง สินค้าเข้า TLOGIS ประมาณ 2,000 ล้านบาท และ ประมาณไตรมาสสี่ จะขายโรงงาน พื้นที่ภาคกลางเข้า TFUND ประมาณ 1,500 ล้านบาท ดังนั้น รวมรวม เป้าขาย TFUND และ TLOGIS ในปี 2555 เท่ากับ 4,200 ล้านบาท
    ค่าใช้จ่ายค่าซ่อมโรงงาน 220 ล้าน จะบันทึกในไตรมาสแรก แต่จะได้ประกันคืน ไตรมาสสอง: ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงงาน และ คลังสินค้าที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย ประมาณ 220 ล้านบาท คาดจะเคลมประกันได้เกือบหมด ซึ่งในไตรมาสแรกได้เงิน ประกันมาแล้ว 40 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ 180 ล้านบาท คาดจะได้เงินชดเชยในไตรมาสสอง ดังนั้น เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงงานและคลังสินค้า จะฉุดผล ประกอบการไตรมาสแรกมีกำไรที่ไม่โดดเด่น แม้ว่าจะมีการขายโรงงานเข้า TFUND 762 ล้านบาท เบื้องต้นเราประเมินกำไรไตรมาสแรกประมาณ 75-100 ล้านบาท
    คงคำแนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 15 บาท: แนวโน้มปี 2555 คาดจะมีการ เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยประเมินรายได้จะเพิ่มขึ้น 115% สู่ระดับ 4,295 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าของผู้บริหารที่ประเมินรายได้จะสูงถึง 5,300 ล้านบาท และ จะทำให้กำไรสุทธิ พุ่งขึ้นถึง 146% เป็น 1,072 ล้านบาท หรือ คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.35 บาท เราคง คำแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 15 บาท ซึ่งเท่ากับ ค่าเฉลี่ยของ Forward  P/E ในอดีตเท่ากับ 11.3 เท่า

    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,SCC,2.Apr.2012., 10.55

     



    Lose your dreams
    and you will lose your mind.
    หากคุณทำความฝันหล่นหาย ความคิดของคุณก็จะหายไปด้วย

    บมจ .ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)

    ขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจกระดาษ และ ปิโตรฯ ขยายลงทุนเพิ่ม 1 พันล้านบาท แบ่งเป็น 400 ล้านบาท ซื้อหุ้นในบริษัทตะวันนา บรรจุภัณฑ์จำกัด และ 630 ล้านบาท ร่วมลงทุนกับ Mitsui Chemicals เพื่อผลิต สินค้าขึ้นรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูง LLDPE ตัวเลขลงทุนเพิ่ม 1 พันล้านบาท ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับเป้าลงทุนในปีนี้ 3 หมื่นล้านบาท คาดจะมีการประกาศข่าวเกี่ยวกับ การลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีเงินสดในมือถึง 50,288 ล้านบาท และ คาดจะสร้างกระแสเงินสดในรูป EBITDA ต่อปี ในช่วง 3 ปีนี้ประมาณ 4.5-6 หมื่น ล้านบาท ทำให้ SCC ตั้งเป้าจะลงทุน 150,000 ล้านบาท ใน 5 ปีนี้ หรือ เฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาทต่อปี เราคาด SCC มีแนวโน้มที่จะเติบโตในระยะยาว จากเก็บ เกี่ยวผลลงทุนสูงในอดีต ขยายการลงทุนต่อเนื่อง เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน แนะนำ ซื้อ ช่วงอ่อนตัว จากไตรมาสแรกจะไม่ดี ราคาเป้าหมาย 390 บาท

    ลงทุนเพิ่ม 400 ล้านบาท ซื้อหุ้นในบริษัทตะวันนาบรรจุภัณฑ์จำกัด : บมจ. ปูนซิ เมนต์ไทย (SCC) ได้แจ้งต่อตลาดฯ ระบุว่า บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์จำกัด หรือ TCG ได้มีการลงนามในสัญญาเข้าซื้อหุ้นในบริษัทตะวันนาบรรจุภัณฑ์จำกัด จำนวน 2,160,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 72 ของหุ้นทั้งหมด โดยคิดเป็นเงินลงทุนในหุ้น ประมาณ 400 ล้านบาท โดยบริษัทตะวันนาบรรจุภัณฑ์จำกัด หรือ (TCC) เป็นผู้ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกล่องกระดาษ ลูกฟูกและแผ่นกระดาษลูกฟูกในประเทศ ไทย มีกำลังการผลิตแผ่นกระดาษลูกฟูกประมาณ 61,000 ตันต่อปี การเข้าลงทุนใน TCC นีจะทำให้TCG มีกำลัง การผลิตแผ่นกระดาษลูกฟูกรวมประมาณ 855,000 ตันต่อ ปี หรือ ปรับเพิ่มขึ้น 7.7% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน 794,000 ตันต่อปี
    SCC และ Mitsui Chemicals ร่วมกันผลิตสินค้าขึ้นรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูง :
    SCC ได้ ประกาศเข้าร่วมลงทุนกับ Mitsui Chemicals Tohcello หรือ MCTI ในการจัดตังบริษัท Siam Tohcello หรือ STC เพื่อดำเนินการผลิตฟิล์มพลาสติกที่มีความแข็งแรงสูง มูลค่า เงินลงทุนรวม 1,400 ล้านบาท โดย SCG Chemicals มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 45 ขณะที่ MCTI จะถือหุ้นส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 55 มีกำลังการผลิตฟิล์มพลาสติก LLDPE (สินค้าขึ้นรูป) ทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี ทั้งนี้โครงการดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินการผลิตเชิง พาณิชย์ได้ภายในต้นปี2557 ฟิล์มพลาสติก LLDPE ของ STC นั้น(เครื่องหมายการค้า T.U.X.) เป็นฟิล์มพลาสติกชั้นซีลชนิดพิเศษ ซึ่ง ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อาหาร โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากสำหรับมาตรฐานในการเก็บ รักษาอาหาร ให้ปลอดภัยและถูกสุขอนามัยกับผู้บริโภคและผู้กระจายสินค้า
    รวม 2 โครงการใช้เงิน 1 พันล้านบาท เป้าปีนี้ลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท :
    เงินลงทุนใน 2 โครงการดังกล่าวข้างต้นประมาณ 1 พันล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ มากนักเมื่อเทียบกับเป้าลงทุนในปีนี้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
    ตั้งเป้าลงทุน 150,000 ล้านบาท ใน 5 ปีนี้ เน้นภูมิภาคอาเซียน:
    กระแสเงินสด ในรูป EBITDA ของ SCC ประมาณ 4.4-6 หมื่นล้านบาทต่อปี และ ณ สิ้นปี 2554 มี เงินสดในมือถึง 50,288 ล้านบาท ดังนั้น SCC จึงประกาศแผนการลงทุน โดยตั้งเป้า ลงทุน 150,000 ล้านบาท ใน 5 ปีนี้ หรือ ใช้ลงทุนตกเฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านบาท โดย การลงทุนของ SCC จะเน้นลงทุนในภูมิภาคอาเซียซึ่งมีศักยภาพที่จะเติบโตสูง ปัจจุบัน SCC ได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศอาเซียนรวมทั้งหมด 50,300 ล้านบาท คิดเป็น สัดส่วน 13% ของสินทรัพย์รวม และ ในปี 2554 ที่ผ่านมา SCC มี
    ยอดส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 29%ของยอดขายรวม โดยเฉพาะตลาดอาเซียมีสัดส่วนสูง ถึง 39% ของยอดส่งออกรวม
    ระยะสั้นถูกกดดันจากสเปรดปิโตรเคมีต่ำ คงคำแนะนำ ซื้อ ในช่วงอ่อนตัว :
    สเปรดธุรกิจปิโตรเคมีในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ คือ HDPE-Naphtha อยู่ที่ 391 เหรียญ/ตัน เทียบกับเฉลี่ยในไตรมาสสี่เท่ากับ 441 เหรียญ/ตัน และ PP-Naphtha ปัจจุบันอยู่ที่ 533 เหรียญ/ตัน เทียบกับเฉลี่ยในไตรมาสสี่เท่ากับ 535 เหรียญ/ตัน จะ กดดันผลประกอบการในไตรมาสแรกให้ไม่โดดเด่น แต่เรายังมอง SCC มีแนวโน้มจะ เติบโตในระยะยาว จากเก็บเกี่ยวผลลงทุนสูงในอดีต เงินสดในมือและกระแสเงินสดสูงขยายการลงทุนต่อเนื่อง รวมถึงคาดจะจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราที่สูงขึ้น คาดอัตราการ จ่ายเงินปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 50-60% ของกำไร จากอดีต 40% ของกำไร ปีนี้คาดเงิน ปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 14 บาทต่อหุ้น จากปีก่อน 12.5 บาทต่อหุ้น ดังนั้น เราคง คำแนะนำ ซื้อ โดยควรรอจังหวะช่วงอ่อนตัว เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสแรกจะ ยังไม่ดี ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 390 บาท บนฐาน Forward Median P/BV
    เท่ากับ 3.00 เท่า
    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

     

    Read more »

    Monday, March 26, 2012

    Stock Focus,STPI,26.Mar.2012.,17.17

    บมจ. เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI)

    โครงการ ICHTHYS LNG จะสร้าง

    กำไรสูง3ปีข้างหน้า

    โครงการประกอบโรงงานสำเร็จรูป สำหรับแยกก๊าซแอลเอ็นจี ICHTHYS Onshore LNG Facilities มูลค่ารวม 22,900 ล้านบาท คาดจะหนุนผล ประกอบการในปี 2556-2558 โดดเด่น มีแนวโน้มจะได้งานโครงการ Module Assembly LNG ในออสเตรเลีย ต่อเนื่อง ช่วยเสริมอัพไซด์ แต่ผล ประกอบการปีนี้จะไม่โดดเด่น เนื่องจาก รับรู้โครงการ ICHTHYS เพียง 1,200- 1,500 ล้านบาท และ งานในมือเดิมไม่มากนัก 3,000 ล้านบาท แนะนำ ซื้อ สำหรับลงทุน ปี 2556-2558 ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 40 บาท โดยยังไม่ รวมโครงการที่จะได้ใหม่ในอนาคต

    โครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities จะหนุนผลประกอบการ: บมจ. เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) เราคาดผลประกอบการจะโดดเด่นในปี 2556-2558 โดยจะได้แรงหนุนจากโครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities เป็นโครงการประกอบโรงงานสำเร็จรูป สำหรับแยกก๊าซแอลเอ็นจี จำนวน 3 แพ็คเกจ จากทั้งหมด 8 แพ็คเกจ น้ำหนักชิ้นงานรวมประมาณ 82,000 ตัน มูลค่าโครงการรวม 739 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,900 ล้านบาท เพื่อส่งไปติดตั้งยังไซต์งานที่ Blaydin Point in Darwin ซึ่ง ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย โดยจะเริ่มดำเนินโครงการ ในปี 2556 - 2558 ณ โรงประกอบโมดูลเอสทีพี แอนด์ ไอ ท่าเรือแหลมฉบัง
    ประเมินกำไรโครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities 3,526 ล้านบาท :
    โครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities คาดจะทำกำไรต่อ STPI น้อยกว่าโครงการ ก่อสร้างโรงแยกก๊าซสำเร็จรูป Pluto LNG Project น้ำหนักเหล็กรวม 56,000 ตัน มูลค่างาน 16,000 ล้านบาท เพราะ 1.) โครงการ ICHTHYS รวมค่าเหล็กด้วย จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า ที่โครงการ Pluto ได้เฉพาะค่าแรง และวิศวกรรม 2.) โครงการ Pluto ไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่โครงการ ICHTHYS จะเริ่มเสียภาษี ดังนั้น เราประเมินโครงการ ICHTHYS จะมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 19.9% และ มีอัตรากำไรสุทธิ ประมาณ 15% หรือ มีกำไรจากโครงการ ICHTHYS เท่ากับ 3,526 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยต่อปี ในปี 2556-2558 ประมาณ 1,175 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 3.20 บาท)
    มีแนวโน้มจะได้งานโครงการ Module Assembly LNG ต่อเนื่อง :
    ประเทศออสเตรเลีย มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ และ จะมีการก่อสร้างโรงงานแยกก๊าซ LNG จำนวนมากในอนาคต เช่น โครงการ Pluto LNG โครงการที่ 2 ถึง 5, โครงการ Queensland Curtis LNG 2 และ 3 ซึ่ง STPI ได้งาน Pluto 1 และ Queensland Curtis 1 ดังนั้น จึงมีแนวโน้มจะได้งานต่อเนื่อง โดย STPI มีกำลังการผลิตประมาณ 115,000 ตัน/ปี โดยงาน ICHTHYS เฉลี่ยต่อปีประมาณ 27,000 ตัน และ งานของ Queensland Curtis เฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 20,000 ตัน (รวมปี 2555-2556 เท่ากับ 40,000 ตัน) ทำให้ STPI มีศักยภาพที่จะรับงานได้อีก 68,000 ตัน/ปี
    แนวโน้มกำไรปี 2555 จะดีขึ้น แต่ไม่โดดเด่น โดยจะโดดเด่นในปี 2556-2558:
    แนวโน้มปี 2555 จะมีรับรู้งาน โครงการ Module Fabrication, Queensland Curtis LNG Project, Australia น้ำหนักเหล็ก 40,000 ตัน มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้ไม่รวมค่าเหล็ก STPI ได้เฉพาะค่าแรงและวิศวกรรม โดยจะรับรู้ในปี 2555-2556 และ โครงการ โครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities ปี 2555 ส่วนใหญ่จะเป็นการเตรียมพื้นที่และเตรียมโครงการ โดยจะรับรู้เป็นรายได้เพียงประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท ดังนั้น เราประเมิน ยอดรับรู้รายได้ของ STPI ในปี 2555 จะเท่ากับ 4,525
    ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีการรับรู้รายได้เพียง 1,001 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนไม่มีงานเข้ามา และ คาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 816 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 2.22 บาท) เติบโตจากปีก่อน 104.3% ซึ่งนับไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ 32.50 บาท แต่กำไรในปี 2556เป็นต้นไป จะรับรู้งานโครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities มูลค่าโครงการ 22,900 ล้านบาท ดังนั้น เราประเมินยอดรับรู้รายได้ในปี 2556 จะสูงถึง 9,558 ล้านบาท เติบโต 111% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,470 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 4 บาท) พุ่งขึ้น 80%
    แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมาย 40 บาท ยังไม่รวมงานที่จะได้ในอนาคต:
    แนวโน้มผลประกอบการปี 2555 แม้จะไม่โดดเด่น แต่เราคาดราคาหุ้นจะมองไปในปี2556-2558 ที่จะรับรู้กำไรจากโครงการ โครงการ ICHTHYS Onshore LNG Facilities มูลค่าโครงการ 22,900 ล้านบา เราประเมินราคาเหมาะโดยอิงกับฐาน P/E ปี 2556 เท่ากับ 10 เท่า ซึ่งจะได้เท่ากับ 40 บาท ซึ่งยังไม่รวมโครงการใหม่ๆที่มีแนวโน้มจะได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังนั้น เราแนะนำ ซื้อ สำหรับกำไรปี 2556-2558 จะโดดเด่น

    by สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,TASCO,20.Mar.2012., 19.00

    บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO)

    แนวโน้มผลประกอบการปี2555จะฟื้นตัวดีขึ้น
    • แนวโน้มปี 2555 คาดจะฟื้นตัว หลังจากที่ทรุดหนักในปีก่อน เนื่องจากได้แรง หนุนจาก การบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม ซึ่งปีนี้มีงบพิเศษซ่อมถนนเพิ่มเติม 10,000 ล้านบาท และ ปีนี้ได้มีการสั่งน้ำดิบหนักล่วงหน้าแล้ว 4 ล้านบาร์เรล จากเป้าการกลั่น 6 ล้านบาร์เรล ประเด็นที่เรากังวลคือ ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ใน ระดับสูง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ TASCO แต่ครึ่งปีแรกเนื่องจากมีการ จองซื้อน้ำมันดิบหนักไว้แล้วจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการฟื้นตัว แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 55 บาท ซึ่งมีอัพไซด์ไม่มากนัก
    แนวโน้มปี 2555 คาดจะฟื้นตัว หลังจากที่ทรุดหนักในปีก่อน: บมจ. ทิปโก้แอส ฟัลท์ (TASCO) เราประเมินแนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 จะฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ ทรุดหนักในปีก่อน โดยปริมาณขายในปี 2555 จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.05 ล้านตัน จากปี 2554 ที่ปริมาณขาย 850,000 ตัน ลดลงจากปี 2553 ที่มีปริมาณขาย 1.1 ล้านตัน เนื่องจากได้แรงหนุนจาก การบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม และ ปีนี้ได้มีการสั่งน้ำดิบหนัก ล่วงหน้าแล้ว 4 ล้านบาร์เรล จากเป้าการกลั่น 6 ล้านบาร์เรล ดังนั้น เราคาดยอดขายในปี นี้จะเท่ากับ 27,264 ล้านบาท (22%yoy) และ มีกำไรปกติเท่ากับ 750 ล้านบาท (กำไรต่อ หุ้น 4.92 บาท) ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรปกติเพียง 330 ล้านบาท

    ภาครัฐบาลมีงบพิเศษในการซ่อมถนน 10,000 ล้านบาท: ปีงบประมาณ 2555 กรม ทางหลวงได้รับจัดสรรงบประมาณ 46,944 ล้านบาท และ กรมทางหลวงชนบทได้รับ จัดสรรงบประมาณ 25,296 ล้านบาท ซึ่งไม่แตกต่างจากปี 2554 มากนัก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีงบประมาณพิเศษในการบูรณะซ่อมแซมถนนที่เสียหายจากน้ำท่วมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการยางมะตอยในประเทศมากขึ้น

    สั่งซื้อน้ำดิบหนักล่วงหน้า 4 ล้านบาร์เรล จากเป้าการกลั่น 6 ล้านบาร์เรล: ในปี 2555 ทาง TASCO ตั้งเป้ายอดขาย 1.05 ล้านตัน (+24%) และ เป้าที่จะกลั่นน้ำมันดิบ หนัก 6 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นมากจากปี 2554 ที่มีการกลั่นน้ำมันดิบหนักเพียง 3.1 ล้าน บาร์เรล ปัจจุบันทาง TASCO ได้สั่งจองน้ำมันดิบหนักไว้ล่วงหน้าแล้ว 4 ล้านบาร์เรลที่ ราคาเฉลี่ยอิงน้ำมัน Brent ที่ประมาณ 90-120 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถูกกว่าราคาปัจจุบัน ทำให้ปีนี้จะไม่มีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2554

    เพิ่มเกรดเป็น ซื้อ แต่หุ้นมีอัพไซด์ไม่มากนัก ประเมินราคาเป้าหมาย 55 บาท:
    ประเด็นที่เรากังวลคือ ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ TASCO แต่ครึ่งปีแรกเนื่องจากมีการจองซื้อน้ำมันดิบไว้แล้วถึง 4 ล้านบาร์เรล จึงยังเป็น หลักประกันผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก นอกจากนี้ TASCO มีแนวโน้มจะได้เงิน ค่าปรับจาก Glencore เพิ่มอีก 3 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 90 ล้านบาท ดังนั้น เราจึง ปรับคำแนะนำ เป็น ซื้อ ในกรอบระยะเวลาครึ่งปีแรกนี้ และ คงประเมินราคาเป้าหมาย เท่ากับ 55 บาท บนฐาน P/E ปี 2555 เท่ากับ 11 เท่า ซึ่งมีอัพไซด์ไม่มากนัก

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


      by สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

      Read more »

      Wednesday, March 21, 2012

      Stock Focus,VNG,20.Mar.2012., 12.55



      Every day may not be good,
      but there is something good in every day.

      ทุก ๆ วันอาจจะไม่ใช่วันที่ดี แต่มันก็มีสิ่งดี ๆ บางสิ่งเกิดขึ้นในทุก ๆ วัน

       กรูหุ้น 1000 ล้าน, เซียนหุ้น 100 ล้าน ,
      ข้อผิดพลาด, 1, 2 ,  3  ,  45  ,  6  , 7 , 8 ,  9 , 10

      บมจ. วนชัย กรุ๊ป (VNG) ถือ

      แนวโน้มปี 2555 จะกระเตื้องขึ้น แต่ยังไม่โดดเด่น

      กำไรปี 2554 ทรุดลง 44% เหลือ 467 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.36) ถูกกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้และภาคกลางทำให้ต้นทุนไม้สูง และ ต้นทุนกาวที่สูงขึ้น แนวโน้มปี 2555 คาดจะปรับตัวดีขึ้น ได้แรงหนุนจาก กำลังการผลิตใหม่ ด้านต้นทุนไม้เริ่มปรับลง แต่ต้นทุนกาวยังอยู่ในระดับสูง คาดกำไร 2555 ดีขึ้น 608 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.47 บาท) ซึ่งไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับกำไรที่เคยทำได้ 827 ล้านบาท ในปี 2553 ราคาหุ้นคาดเคลื่อนไหวช่วงแคบ ถูกกดดัน จากไม้จากยุโรปที่ล้นตลาดจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรป และ ตะวันออกกลางมีปัญหากระทบการส่งออก แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท

      􀂃 ผลประกอบการปี 2554 กำไรทรุดลง 44%: บมจ. วนชัย กรุ๊ป (VNG) มีผลประกอบการในปี 2554 ที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 467 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.36 บาท) ทรุดลงถึง 44% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2554 ปรับลดลงเหลือ 20.6% จาก 26.3% ในปีก่อน เป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมทั้งในพื้นที่ภาคใต้ และ ภาคกลางของประเทศ ทำให้ต้นทุนไม้ยางพารา (สัดส่วนประมาณ30%) มีราคาพุ่งสูงขึ้น และ ถูกกระทบจากต้นทุนกาว (สัดส่วน 30%) ที่สูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายสามารถปรับขึ้นได้ 7% สู่ระดับ 10,236 ล้านบาท ได้แรงหนุนจากราคาขายไม้ MDF ปรับขึ้น 7% และ แผ่น Particle ขึ้น 14% ซึ่งยังน้อยกว่าต้นทุนที่ปรับขึ้น

      􀂃 แนวโน้มปี 2555 คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังไม่โดดเด่น:

      แนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 คาดจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยจะได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ แผ่นไม้พื้นสำเร็จรูปกำลังการผลิต 4 ล้านตรม./ปี ซึ่งเสร็จในไตรมาสสามปีก่อน และ แผ่นปาร์ติเกิ้ล กำลังการผลิต 240,000 ลูกบาศก์เมตร/ปี จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/55 ส่วนราคาขายเฉลี่ยคาดจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย ทำให้เราประเมินยอดขายในปี 2555 จะโตประมาณ 5% สู่ระดับ 10,748 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 22% จาก 20.6% จากต้นทุนไม้ที่ปรับลดลง แต่ต้นทุนกาวยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น สุทธิแล้วเราประเมินกำไรในปี 2555 จะฟื้นตัวขึ้นมาที่ 608 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.47 บาท) เพิ่มขึ้น 30% แต่ยังต่ำกว่าปี 2553 มากที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 827 ล้านบาท

      􀂃 ผลประกอบการยังไม่โดดเด่นเพียงพอ ราคาหุ้นมีอัพไซด์ไม่มาก แนะนำ ถือ :

      โดยเราคาดราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบซึ่งจะยังถูกกดดันจากประเด็น ไม้จากยุโรป ยังล้นตลาด เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปทำให้มีการทะลักออกมาตีตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดเกาหลีใต้ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำหรับไม้แผ่นปาร์ติเกิ้ล และ เหตุการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับไม้ MDF และ โรงงาน เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 25% ต้องใช้เวลาฟื้นฟู เราประเมินราคาเป้าหมาย เท่ากับ 4.50 บาท ตามค่า Forward P/E เท่ากับ 9.5 เท่า ซึ่งเป็นบริเวณค่าเฉลี่ย P/E ในอดีต ราคาหุ้นปัจจุบันมีอัพไซด์ไม่มากนัก รวมแล้วเราแนะนำ ถือ

      สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

      Read more »