| สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมตาม ลิงค์นี้ครับ | |
|---|---|
| เกล็ดความรู้ | สรุปผลงาน |
| Stock Focus | Gold & Stock Daily |
| Gold Daily | หุ้นพื้นฐาน |
สัจจะธรรมสู่ความสำเร็จ Real To Success
ก่อนอื่นต้อง กล่าวถึง เรื่องก่อนหน้านี้ คือ Plan To Success 1 และ 2 ส่วนใหญ่เกี่ยวกับ แนวความคิดเกี่ยวกับ หนทางที่จะนำพาเราไปพบกับ อิสระภาพทางการเงินและ เวลา ซึ่งความคิดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถนำพา สิ่งที่เป็นจริงได้ ดังนั้น บทนี้จึงเป็นบทต่อ ที่เน้นในส่วนของการลงมือทำเพื่อความสมบูรณ์ ยิ่งขึ้น
คุณคิดมัยว่า ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ทุกคนล้วนปราถนาความสำเร็จด้วยกันทั้งสิ้น หลักการสั้นๆ ในทางศาสนาพุทธ สอนอยู่ว่า ความสำเร็จใดๆ ก็ตาม จะต้องมีหัวใจสำคัญ ที่นำทางสู่ ความสำเร็จ นั่นก็คือ ธรรม ในหัวข้อ อิทธิบาท 4 ซึ่งผมจะขอนำมาขยายความตามความเข้าใจของผมดังนี้
อิทธิบาท 4 คือทางดำเนินไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งประกอบไปด้วย ธรรม 4 ข้อ ได้แก่
- ฉันธะ คือเต็มใจทำ ได้แก่ มีความต้องการที่จะทำ มีใจรักที่จะทำ สิ่งนั้นอยู่เสมอ, ความรักในงานที่จะทำ
- วิริยะ คือ แข็งใจทำ ขยันทำสิ่งนั้นด้วยความพยายาม อดทน ไม่ท้อถอย “ ฝืนทำ”ความขยันหมั่นเพียร อย่างไม่ลดละ ”
- จิตตะ คือ ตั้งใจทำ จดจ่อ เอาใจใส่เสมอ เป็นสมาธิ “ไม่ละเป้าหมาย”ความตั้งใจแบบสุดๆ
- วิมังสา คือ เข้าใจทำ มีความรู้ความสามารถในสิ่งที่ทำ ทำด้วยการพิจารณา หมั่นตรวจสอบ วางแผน ประเมินผล ตลอดจนหา วิธีปรับแต่แก้ไขให้ดีกว่าเดิมเสมอ
ในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนที่ประสบความสำเร็จน้อย กว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุมันเกิด
จากสิ่งใดกัน ? แล้วเราสามารถ ปรับเปลี่ยนให้ มีคนประสบความสำเร็จ มากว่า ผู้ที่ล้มเลว ได้หรือไม่ ! ได้ ถ้ามีอิทธิบาท 4 ครบทุกข้อ จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ตามความเข้าใจผม คือ ปัจจัยทั้ง 4 อย่างนั้น จะนำทางคุณสู่ความสำเร็จ ไม่ว่า สิ่งใดจะเกิดก่อน หรือ หลัง ก็ได้ แต่ต้องมีครบทั้ง 4 ข้อจึงจะประสบความสำเร็จได้ เพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น ผมจะขอยกตัวอย่าง
คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบอาชีพ ( ขายประกัน , ทำธุรกิจเครือค่าย , พนักงานขาย , ธุรกิจที่ต้องมีการออกไปเสนอ ขาย หรือ เสนอโปรเจคต่างๆ , ฯลฯ ) สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็คือ คนส่วนใหญ่แล้วจะมี ประสบการณ์ ทางตรง หรือทางอ้อม เช่น ประสบการณ์ ตรง คือ อาจเคยประกอบอาชีพที่ต้องออกไปเสนอขายสินค้าหรือ โปรเจคต่างๆ ฯ แล้ว พบกับความล้มเหลว ทำให้ฝังใจ กับเหตุการณ์ ที่ไม่ดี บางครั้ง ก็ ส่งผลต่อ ตนเอง โดยตรง และ หลายครั้งก็ส่งผล ต่อคนที่อยู่รอบข้าง โดยการ บ่น ตำหนิ หาเหตุผล ต่างๆ นานา มาเพื่อปกป้องตัวเอง จากความล้มเหลว ในการเสนอขาย หรือ เสนอโปรเจค ครั้งนั้น (การแก้ตัว ว่าทำมัยตนเองถึงไม่สามารถขาย หรือ เสนองานไม่ผ่าน) ซึ่งสิ่งที่ทำนั้นส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย คนรอบข้างที่ได้ยินหรือ อยู่ใกล้แล้วได้รับข้อมูล ไป ก็จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ ไว้ในสมอง และเมื่อพวกเขาเจอ กับอาชีพ เกี่ยวกับการขาย ก็จะรู้สึกไม่ดี ไม่อยากทำ แม้ว่าเขาหรือเธอ อาจยังไม่เคยทำอาชีพนั้นมาก่อนก็ตาม สิ่งที่ได้ยินมาถูก ส่งต่อมา ทางตรง หรือ ทางอ้อม ( จากเพื่อนๆ จากเพื่อนของเพื่อน จากคนรู้จัก และ สังคมที่อยู่ใกล้ ฯลฯ ) สิ่งเหล่านี้จะถูกฝังอยู่ในสมอง โดยไม่รู้ตัว ในส่วนของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ เจอกับนักขาย ที่ไม่ใช่มือ อาชีพ คือ จอม ตื้อ เช่น ตัวแทนมือใหม่ไม่ใช่มืออาชีพ มาขายประกัน แต่พนักงานท่านนั้นไม่สามารถจูงใจ ให้ซื้อประกันได้ จึงเริ่มงัดไม้ตายมาใช้ คือ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก เหตุการณ์แบบ นี้ ใครเจอมา ก็จะรู้สึกไม่ดี กับ อาชีพการขาย และ เหมารวมเอาว่า การขายนั้นคือการตื้อ จริงๆ แล้วไม่ใช่ เลย เพราะ พนักงานขายที่มีทักษะ ในอาชีพ จริงๆ เขาสามารถทำได้ดีกว่าการตื้อ เพราะเขาเหล่านั้นได้รับการฝึกฝน และเรียนรู้การขายมาอย่างดีแล้ว เขาจะไม่ขายโดยการ ตื้อลูกค้า จนเกิดความรำคาญใจ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ หนึ่ง ที่ไม่ดีต่ออาชีพเหล่านี้เช่นกัน
แล้วคนประกอบอาชีพเหล่านี้ประสบความสำเร็จในอาชีพได้อย่างไร คำตอบก็คือ พวกเขาส่วนใหญ่ ได้เริ่มต้นทำชีพเหล่านี้ ด้วยความไม่ชอบในงานนี้เลย แต่ด้วยเหตุผล บางประการ ทำให้ คนเหล่านี้ ฝืนทำ ด้วยใจที่จดจ่อ กับความสำเร็จ มีสมาธิ ไม่ละเป้าหมาย จน ถึงจุดๆ หนึ่ง เกิด ความรักใน อาชีพที่ทำ และ ปรับปรุง วางแผนงานทำให้ดีขึ้น เขาเหล่านั้น จึงประสบกับความสำเร็จ
ผมเคยถาม เพื่อนหลายคน ว่า ปัจจัยใด ใน อิทธิบาท 4 ข้อ ในสำคัญที่สุด และต้องมีก่อนจะเริ่มงานใดๆ ก็ตาม และเป็นปัจจัยหลักนำไปสู่ความสำเร็จ
มีคนตอบว่าว่า การจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มต้นด้วยความรักในงานที่ทำก่อน ผมขอย้ำว่า เขาบอกว่า ”ต้องเริ่มด้วย การชอบ หรือ รักงานที่จะทำก่อน แล้วจึงทำให้งานนั้นๆ ประสบความสำเร็จ” จริงๆ แล้ว มันจริงแค่บางส่วน แต่ไม่ใช่ 100% เพราะ หลายๆ งานบนโลกนี้ บางครั้งคนทำ อาชีพนั้นโดยไม่ได้รักตั้งแต่แรก แต่ ทำ เพราะต้องทำ หรือ ฝีนทำ แต่เมื่อทำไปจนถึงจุดๆ หนึ่ง เริ่มเห็นสิ่งดีๆ ในอาชีพเหล่านี้ ทำให้เขาเหล่านั้น เริ่มมีความรักในงาน ขึ้นมา และก็ มุ่งหน้าทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย
คำตอบก็คือ พวกเขาส่วนใหญ่ ไม่ชอบงานที่เขาจะทำเมื่อตอนเริ่มแรก อาจจะเป็น ความฝัน ความต้องการบรรลุเป้าหมายสู่ความสำเร็จ ของชีวิต หรือ ความจำเป็นก็ตาม ด้วยเหตุผลต่างๆ ฯ พลักดันในพวกเขาเริ่ม ลงมีทำในงานที่ไม่ได้ชอบ หรือ รักในนาทีแรกที่ทำ แต่เมื่อทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วเริ่มมีประสบการณ์ ความชำนาญ มากขึ้น เริ่มพบกับผลสำเร็จ ในเนื้องาน เริ่มเห็น สิ่งดีๆ หลายๆ อย่างในงานที่ทำ ทั้งยั้งทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีคนชื่นชม เป็นที่รู้จัก เขาก็เริ่มชอบอาชีพที่ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชอบมาก่อนเลย แต่พอทำแล้ว กลับกลายมาเป็น รัก งานที่ทำ ชอบงานที่ทำ และมุ่งมั่นพากเพียร ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือในสมัยก่อน การแต่งาน มักเกิดขึ้น จากการที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ จัดการให้ โดยที่ คู่สมรส บางคู่ยังไม่รู้จักกันเลย ดังนั้น การแต่งานนั้น จึงไม่ได้เริ่มต้นที่ ความรักอย่างแน่นอน มีหลายๆ คู่ที่เขาอยู่กินกัน จน วันที่ลาโลกใบนี้ไปทีเดียว สิ่งที่ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ ก็ ความรัก แต่ก่อน จะเกิดความรัก ขึ้นมาจริงๆ ในช่วยแรก ทั้ง 2 คน นั้น คงต้องฝืน และเรียนรู้ มองหาข้อดี จากอีกฝ่ายหนึ่ง ต่อเมื่ออยู่ไป อยู่ไป ก็พบกับข้อดี หลายอย่าง ทำให้เกิดเป็นความรัก ความห่วงใย ขึ้นมา
ดังนั้นผม จึงคิดว่า ทุกปัจจัยใน อิทธิบาท 4 สำคัญทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมๆ กันก็ได้ จะเกิดจากข้อใดก่อนหลังไม่สำคัญ แต่ภายหลังต้องมีครบทั้ง 4 ข้อ ความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้น ในที่สุด
ในบทนี้เนือหาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การฝีนที่จะทำ ในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่เป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่จะนำพาคุณไปพบกับอิสระภาพทางการเงิน และเวลา นั้นคือ ทักษะในการ ขาย ซึ่งเป็นทักษะที่ เจ้าของกิจการ และ นักลงทุนควรต้องมี (คุณจำได้หรือไม่ว่า อาชีพ ใน E S B I มีเพียง 2 อาชีพเท่านั้นที่คุณสามารถ ใช้ให้เงินทำงานแทนคุณ และเมื่อคุณหยุดทำงาน แล้ว เงินยังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ )
ทบทวนเรื่องเก่า จากหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ Robert Kiyosaki เขาได้แบ่งงานที่มีอยู่หลายสิบล้านอาชีพ ออกเป็น สี่กลุ่ม E S B I โดยใช้แหล่งที่มาของรายได้เป็นตัวแบ่งประเภท ของอาชีพทั้งหมด
ความหมาย
E
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ รับจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ ครู คนขับรถแท็กซึ่ ฯลฯ จุดสังเกดของคนอาชีพกลุ่มนี้คือ รายได้ที่ได้รับ มาจากการทำงานเท่านั้น และเมื่อใดที่ลาออก หรือ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วยS
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ ธุรกิจ ส่วนตัว เช่น เจ้าของร้านชำ , เจ้าของคลีนิกฟัน , ทนายความ ,ตัวแทนขายประกัน , เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า ฯ ( จุดสังเกตอาชีพนี้คือ เขาจะได้รับรายได้จากการทำงานตามผลงาน ที่ทำได้ แต่รายได้ยังคงมาจาก ตัวของผู้ประกอบการ ต้องลงมือทำ จึงจะก่อให้เกิดรายได้ และ เมื่อ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วย)B
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ เจ้าของธุรกิจ เช่น เจ้าของ โรงพยาบาล , เจ้าของโรงเรียน, เจ้าของเบียร์ช้าง , เจ้าของอาพาร์เม้นให้เช่า ,เจ้าของดาวเทียม , เจ้าของช่อง 3 , เจ้าของธุรกิจเช่ารถแท็กซี่ ,เจ้าของลิขสิทธิ หนังสือแฮลี่พอสเตอร์ , ธุรกิจเครือข่าย ฯ (จุดสังเกตของคนอาชีพนี้ คือ เมื่อเขาหยุดทำงาน แต่ รายได้ของพวกเขาไม่หยุดตาม รายได้ยังคงเดินต่อ ไม่ว่าเขาจะทำงานหรือไม่ก็ตาม)I
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ นักลงทุน เช่น ผู้ลงทุนในหุ้น , ลงทุนในพันธ์บัตร , ลงทุน ทอง เงิน น้ำมัน อื่น, ฯลฯ (อาชีพนี้มีจุดสังเกตคือ ตัวผู้ลงทุน อาจจะไม่จำเป็นที่จะเจ้าของ ทั้งหมดในบริษัทที่ลงทุน แต่เป็นเจ้าของบางส่วน “เป็นหุ้นส่วน” ก็ได้ หรือเป็นเจ้าของทั้งหมดก็ได้ และสิ่งทีนักลงทุนจะได้รับคือ ผลตอบแทนจากการลงทุน, ดอกเบี้ย ,เงินปันผล , สิทธิประโยชน์อื่นๆ เป็นผลตอบแทน ซึ่ง อาชีพนี้ รายได้ของนักลงทุน มาจากการลงทุน เขาจึงสามารถ มีรายได้ที่เป็นอิสระ โดยที่ตัวนักลงทุนเอง จะทำงาน หรือไม่ต้อง ทำงาน รายได้ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องอ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....>
แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน
Plan To Success. 1Plan To Success. 2
Plan To Success. 3
Secret Of The Millionaire Mind
Investment Method
Investment Strategy
กูรูหุ้น 1000 ล้าน
เซียนหุ้น100 ล้าน
ข้อผิดพลาดในการลงทุน
Why most people to invest Unsuccessful
KEEP YOUR MONEY FORM TAX
เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMFเก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax






