แผนผังสู่ความสำเร็จในการลงทุน
- คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ในโลกของการลงทุน นั้นมี คนที่ มีความรู้ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ อยู่มากมาย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็น่าที่จะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อมีความรู้มาก และ เทคนิค ผสมผสานกันแล้ว ก็น่าจะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนจำนวน มากๆ แต่ในความเป็นจริง คือ มีคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนน้อย มาก สาเหตุ มันเกิดจากอะไร มีอะไรผิดพลาด นั้น คุณอาจจะได้ค้นพบ จาก เนื้อหาและองค์ประกอบต่อไปนี้ก็เป็นได้
- ก่อนอื่นผมอยากให้คุณจินตนาการ ถึงต้นไม้สักหนึ่งต้น สมมุติว่ามันคือต้นไม้แห่งชีวิต และบนต้นนั้นมีทั้ง ดอกไม้ เต็มไปหมด ในชีวิตจริง ผล และ ดอกนั้น คือผลลัพธ์ เมื่อเรามองดูผล และ ดอกไม้นั้น (ผลลัพธ์ของเรา) แล้วเรารู้สึกไม่พอใจนัก ลูกมันไม่สวย ผลเล็ก หรือรสชาติไม่ได้เรื่อง
- แล้วเรามักจะทำอย่างไร? ในคนส่วนใหญ่แล้ว มักให้ความสนใจ และ จดจ่อ อยู่กับ ดอก และ ผล ของเขามากขึ้น แต่เราจะลืมไปว่า อะไรกันแน่ที่ ที่ก่อให้เกิด ผล และ ดอก ขึ้นมา ก็คือ เมล์ดพันธุ์ และ รากไม้ และเมล็ดพันธ์ต่างหากที่ทำให้ต้นไม้ ผลิดอก ออก ผลมา มันคือสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน สร้างสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดิน สิ่งที่เรามองไม่เห็น สร้างสิ่งที่เรามองเห็น ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นคืออะไร มันหมายความว่าถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลง ผล และ ดอก ให้ เป็นไปอย่างที่เราต้องการ เราต้องเริ่มแก้จากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
- เป็นไปได้มากว่า คนบางคน อาจกล่าวว่า เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น แต่ผมอยากจะถามว่า คุณเชี่อว่าไฟฟ้ามีจริงไหม มันมองไม่เห็น แล้วคุณเชื่อมัยว่า มันมีอยู่จริง ลองเอานิ้วของคุณ ใส่ไปที่เสียบปลั๊กไฟดู แล้วคุณจะรู้
- ในโลกที่เราอาศัยอยู่ นั้น จะมีสิ่งที่ตรงข้ามกัน ทุกอย่างมี ขึ้น มี ลง มี ร้อน เย็น มีมืด มีสว่าง มี ซ้าย มีขวา ฯลฯ ก็เหมือนกันกับการลงทุน มีความรู้จาก ภายนอก ( การวิเคาะห์ตามปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์ ตามปัจจัยทางเทคนิค ความรู้ทางธุรกิจ การบริหารเงิน กลยุทธ์ในการลงทุน ฯ) ความรู้จากภายใน ซึ่งมองไม่เห็น เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ผมขอสมมุติให้คุณ เข้าใจ ถ้ามีช่างแกะสลักไม้ กับ เครื่องมือแกะสลัก แม้นว่า ช่างแกะสลัก จะมีเครื่องมือแกะสลักดีสักปานใด ถ้าตัวช่างเอง ไม่มี ความสามารถทางศิลป์ จากภายในตัวช่างเองแล้ว ก็คงไม่สามารถ ผลิตผลงานในงามวิจิตร ออกมาได้
- คุณเคยได้ยินคนที่ ผลาญ เงินตัวเองมาบ้างไหม แม้นว่า เขาจะมีเงินมากมายขนานไหน ก็ ผลาญ จนหมด หรือบางคน ก็มีโอกาสเริ่มซื้อหุ้น ในราคาถูก แต่กลับขายไปในราคา ขาดทุน หรือ เท่าทุน หรือ ขายไปได้กำไรเล็กน้อย แล้วหลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปอีกไกล รวมทั้ง คนที่มีโอกาสในการลงทุนดีๆ ในธุรกิจที่ดี ในเวลาเหมาะสม แต่กลับล้มไม่เป็นท่า เขาอาจบอกเหตุผลมามากมาย เช่น โดนเพื่อน หักหลัง, ธุรกิจโดยรวมกำลังแย่, จังหวะไม่ดี , ภาครัฐไม่สนันสนุน ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมอยากให้คุณลองมองย้อนไปว่า ความจริงแล้ว การกระทำทุกๆ อย่าง เขา คือคนตัดสินใจ ไม่มีใครมาบังคับเขาใช่หรือไม่ การหาเหตุผลมาเพื่อ ในตัวเขาเองรู้สึกดีขึ้นได้ แต่มันไม่สามารถแก้ปัญหา ที่แท้จริงได้ ในเมื่อปัญหาที่แท้จริงยังไม่ถูกแก้ไข เหตุการณ์ แบบนี้ก็ จะเกิดซ้ำ อีก จนกว่าปัญหาจริงๆ จะถูกแก้ไข ซึ่ง เป็นไปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง เป็นปัญหาจาก ภายใต้จิตรสำนึกของเขา ยังไม่พร้อม หรือต่อต้าน จำนวนเงิน ที่มากกว่าที่เขาตั้งไว้ และ เมื่อคุณมีเงินก้อนใหญ่ ในขณะที่สภาพจิตรใจ คุณยังไม่พร้อม เงิน จำนวนนั้น ก็อาจจะอยู่กับคุณไม่นาน แล้วคุณก็เสียมันไปในที่สุด
- ตัวอย่างที่ชัดเจนมาก คือคน ถูกหวย ไม่ว่า พวกเขาจะถูกหวยด้วยจำนวนเงินเท่าไร คนที่ถูกหวยส่วนใหญ่มักกลับมามีฐานะทางการเงินเท่าเดิม ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด
- ในทางตรงกันข้าม เศรษฐีเงินล้านที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง ลองเกตดู พวกเขาสามารถหาเงินมาได้ หลังจากที่เสียเงินไปก่อนหน้านั้น พวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างอย่างเดิม ได้ มันเป็นเพราะเหตุใด
- ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความคิด ของคนเป็นคนละแบบ ผลลัพธ์ก็จะออกมาต่างกัน เนื่องจาก เครื่องควบคุมตั้ง ขนานของเงินแต่ละคน ต่างกัน ซึ่งหลายๆ คน อาจจะอยู่ที่ 5 ล้าน ต่อปี บางคน 200000 ต่อปี บางคนอาจจะน้อยกว่า หรือมากว่า ซึ่งความจริงคือว่า คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำงานด้วยศักยภาพที่สูงสุด พวกเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และก็พูดได้ไม่เต็มปากว่า พวกเขามีความสุขอย่างแท้จริง
- คุณเชื่อหรือไม่ว่า เราทุกคนมีแผนผังทางการเงิน และความสำเร็จ ฝังตัวอยู่ และแผนฝังทางการเงินนี้ คือโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้กำหนด ความสัมพันธ์ระหว่างคุณ กับ เงิน ซึ่งมีสูตร ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ มีชื่อเสียงหลายท่านใช้ เรียกว่า กระบวนการปรากฏผล (Process of Manifestation) ซึ่งมีสมการดังนี้
สมการเดิม ความคิด...> ความรู้สึก...> การกระทำ = ผลลัพธ์
ปรับใหม่
สมการเดิม ความคิด...> ความรู้สึก...> การกระทำ = ผลลัพธ์
การตั้งโปรแกรมใหม่..> ความคิด...> ความรู้สึก...> การกระทำ = ผลลัพธ์
- เมื่อพูดถึงการตั้งโปรแกรม คุณเคยมีประสบการณ์ ฝังใจตอนที่คุณเป็นเด็ก ที่มีความเกี่ยวโยงกับเรื่อง เงินๆ ทองๆ มาบ้าง เช่น เงินคือสิ่งที่เลวร้าย, เก็บเงินใช้ ในยามยาก ,คนรวยเป็นคนละโมบ , เงินไม่ได้งอกมาตามต้นไม้ , คุณไม่สามารถเป็นคนรวย และ เป็นคนดีได้ , เงินซื้อความสุขไม่ได้, เงินซื้อความรักไม่ได้, เก็บเงินไว้ใช้เวลาลำบาก, เงินคือสิ่งสกปรก , ใช้เงินฟาดหัว , คนรวยไม่รู้จักพอ , เราไม่มีเงินซื้อหรอก , แกเห็นตัวฉันทำด้วยเงินเหรอ ฯ
- ปัญหาก็คือ ทุกประโยคที่คุณได้ยิน หรือ ทุกการกระทำที่คุณสัมผัส มันจะติดอยู่ในจิตใต้สำนึก และก็จะกลายเป็นแผนผังที่จะกำหนด ชะตากรรม ด้านการเงินของคุณมาถึงปัจจุบัน “ ความคิดทุกอย่างจะไม่อยู่ในสมองของเราฟรีๆ ”
- สมมุติว่า เด็กหญิง อายุ 5 ขวบ ไปเที่ยวกับครอบครัวที่ ห้างสรรพสินค้า แห่งหนึ่ง บังเอิญ เด็กหญิง ไปเห็นตุ๊กตา บาบี้ที่สวยงามมาก จึงขอให้ แม่ซื้อให้ แต่กลับได้คำตอบว่า แม่ไม่มีเงิน ไปขอพ่อซิ เด็กน้อย ก็ ไปขอพ่อ แล้วได้คำตอบว่า อย่าซื้อเลย เราต้องเก็บเงินไว้ใช้ เวลาเจ็บป่วย เด็กน้อย ได้ฟังดังนั้นก็ ร้องอย่างไม่คิดชีวิต พ่อแม่ ก็พยายามให้ ลูกเงียบลงให้จงได้ แต่ก็ไม่เป็นผล แม่ ก็เลยตะคอกลูกวัย 5 ขวบว่า เธอเห็นตัวพ่อทำมาจากเงินหรือยังไง แล้วก็ลาก ลูกน้อยออกจากห้างสรรพสินต้า กลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน แล้ว ทุกคนในครอบครับ ต้อง ทานอาหารด้วยกัน โดยที่ พ่อและแม่ ของเธอ จะสอนเธอว่า โตขึ้น ให้เป็นคนดีนะลูก เรียนหนังสือเก่งๆ จะได้งานดีๆ ทำ และก็อย่าเป็น คนละโมบ ไม่รู้จักพอ อย่างพวกคนรวย อ่านมาถึงตรงนี้ ผมอยากถามคุณว่า คิดยังไงกับเรื่องนี้
- จากตัวอย่าง เมื่อเด็กหญิงคนนี้โตขึ้น ถ้าอดีตเด็กหญิงผู้นี้พบกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือเหตุการณ์คล้ายกันหลายๆ ครั้ง ความคิดและความรู้สึกภายใน (จิตรใต้สำนึก) ก็ อาจจะคิดไปเองว่า 1 ผู้หญิง ต้องไม่มีเงิน 2 คนมีเงินมาก เป็นคนไม่ดี เพราะคนมีเงินมากๆ ก็ จะเป็นคนรวย ที่ละโมบไม่รู้จักพอ ซึ่งเมื่อเธอโตขึ้น เมื่อเธอหาเงินมาได้ ไม่ว่าจะมาก หรือ น้อย เธอก็จะใช้ ไปจนไม่เหลืออย่างไม่รู้ตัว เพราะ จิตรใต้สำนึก บอกว่า ตัวเธอต้องเป็นคนดี คือ ไม่รวย ทั้งยังประสบการณ์ การขอเงินจากแม่ ของเธอและแล้ว แม่ บอกว่า “ แม่ไม่มีเงิน ไปขอ พ่อ ซิ ” ซึ่ง เมื่อเธอโตขึ้น เมื่อต้องการเลือก คบหาคู่ชีวิตในอนาคตเพื่อ แต่งงาน คุณ คิดว่า เธอจะเลือกคู่ชีวิต โดยมีปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยหลักละครับ ? คำตอบคือ คนๆ นั้นต้องมีเงินเมื่อเธอขอ
- อาจจะมีคนสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรามาดูเรื่องนี้กัน สมมุติ ว่า เมื่อ หญิงสาว (มีรายได้เดือนละ 15000 บาท เธอมีกระเป๋าอยู่แล้ว หลายใบ รวมทั้งสีน้ำตามด้วย ทั้งยังต้องเช่าคอนโดอยู่ใกล้ที่ทำงาน เดือนละ 4500 เนื่องจาก บ้านเธอไกลที่ทำงาน ) เย็นวันศุกร์ เธอเดินเข้าห้างสรรพสินค้า เพื่อไปเดินเล่น แต่บังเอิญ มองไปเห็น กระเป๋า ถือ สีน้ำตาล ในสมองเธอก็จะคิดอย่างไร เออ เหมาะกับ รองเท้าที่เพิ่งซื้อไปเมื่อ 2 วันก่อน จากการตัดสิน เดินเข้าไปดูราคา ปรากฏว่า ราคาเท่ากับ 20000 บาท สมองของเธอ ก็จะคิดว่า กระเป๋าใบนี้ช่างเหมาะกับ รองเท้าสุดๆ ถ้าเพื่อนๆ เห็นเธอพร้อมกับกระเป๋าใบนี้เพื่อนๆ ของเธอจะต้อง อ้าปากค้างแน่นอน ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจซื้อ โดยคิด ว่า เดี๋ยวก็หาเงินมาใช้ได้เอง *** เมื่อ อารมณ์ มาเจอกับเหตุผล แล้วโดยส่วนใหญ่แล้ว อารมณ์ มักจะชนะ แม้นว่า การซื้อกระเป๋าใบดังกล่าว เธอจะต้องใช้เงินเดือนของเธอ ทั้งเดือน รวมถึงเดือนหน้า อีก 5000 บาท ด้วย ซึ่งจะทำให้เดือนนี้ตัวเธอเองจะมีรายได้ ติดลบ ก็ตาม เธอยังตัดสินใจซื้ออยู่ดี เป็นเพราะเหตุใด ?
- เมื่อคนเราจะตัดสินใจอะไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อการตัดสินใจครั้ง นั้นต้องเลือกระหว่าง เหตุผล กับ อารมณ์ แล้วส่วนใหญ่ แล้วคนมักจะตัดสินใจด้วยอารมณ์ มากว่าเหตุผล นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การตัดสินใจ ผิดพลาด โดยที่ไม่รู้ตัวเพราะเมื่อเธอ รู้สึกว่า กระเป๋า คู่กับรองเท้าแล้วเข้ากัน และเห็นภาพว่า เพื่อนๆ ของเธอต้องทึ่ง สมองของเธอก็จะ ไปดึงข้อมูลจากสมองของเธอ ที่สนับสนุนให้เธอซื้อกระเป๋าออกมา ให้ดูสมเหตุสมผล เพื่อที่จะตัดสินใจซื้อกระเป๋า เป็นเพราะ จิตรใต้สำนึกของเธอ ทำงานโดยที่เธอนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า จิตรใต้สำนึกเธอ ก็จะสนับสนุนให้เธอใช้เงินออกไป แล้วเธอจะเป็นคนดี ซึ่ง ตัวเธอเองก็ไม่รู้สึกตัว เพราะเป็นความฝังใจในวัยเยาว์ ความคิดที่ที่เธอเคยได้ยิน หรือ มีประสบการณ์ในวัยเด็กนั้นส่งผลต่อ ชีวิต และวิธีคิดของเธอไปตลอด ทั้งๆที่ บางความคิด หรือ ความเชื่อนั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่ เพราะการรับข้อมูลมานั้น เธอยังเด็ก ซึ่งก็ยังไม่สามารถแยกได้ จึงไม่ใช่ความผิดอะไรของเธอ เลย
- ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ความเชื่อมีผลต่อการตัดสินใจ ของนักลงทุน ถ้าคุณเชื่อว่า เงินนั้นสกปรก จิตรใต้สำนึกภายในของคุณ ก็จะหาทาง พลักดัน สิ่งที่คิดว่าสรกปก ออกไป ถ้าคุณคิดว่า คนรวย เป็นคนไม่ดี ละโมบ จิตรใต้สำนึกของคุณ ก็ จะทำในสิ่งตรงกันข้าม การตัดสินใจโดยไม่รู้ตัวของคุณ ไม่ให้คุณ เป็นคน ละโมบ และการตัดสินใจก็จะส่งผลให้คุณ ไม่รวยเพราะ จิตรใต้สำนึก บอกว่า เมื่อคุณรวยแล้วจะเป็นคนละโมบ ซึ่งจิตรใต้สำนึกของคุณไม่อยากจะเป็น ดังนั้นไม่ว่า คุณจะทำอะไร จิตรใต้สำนึกของคุณจะนำพาคุณไปตามนั้น
- ผมอยากให้คุณสำรวจความคิดของคุณ ว่างเคยได้ยิน หรือมีประสบการณ์ คล้ายๆ กับตัวอย่างบ้างหรือไม่ ค้นหา และสำรวจดูว่ามีหรือ ไม่ ถ้ามี เราควรจะมาแก้ไข มิฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจ หรือ ลงทุน คุณก็มักจะพบ ว่า บทสรุปแล้ว คือ คุณสูญเสียเงินไปอยู่ดี แม้นว่า จะมีปัจจัยสนับสนุน ให้ประสบความสำเร็จ มากมาย สักเพียงใด
- เมื่อคุณสำรวจตัวเองแล้ว พบว่ามี อะไรก็ตามที่ติดค้างอยู่ คุณจะแก้อย่างไร ลองพิจรณาถึงเหตุผลของความเชื่อนั้นๆ ว่า มันเป็นจริงหรือไม่ เช่น
ตัวอย่าง
- ” คนรวย คือคนละโมบ ไม่รู้จักพอ “ ในความเป็นจริง คนรวยหลายคน ก็เป็นคนมีจิตรใจดี มอบเงินให้กับ องค์กรการกุศล และ ทำบุญ ช่วยเหลือ คนจน และคนที่ฐานะลำบมากกว่า มาก มาย ทั้งยังทำอย่างต่อเนื่องด้วย ข้อความนี้ มันจึงไม่ใช่ ความจริงที่จะสรุปว่า คนรวยทุกคน ละโมบไม่รู้จักพอ ในความเห็นของผม เงินเป็นเพียงการเพิ่มอำนาจให้ผู้ที่เป็นเจ้าของมัน มันจะส่งเสริมให้คนๆ นั้น ทำสิ่งที่เขาต้องการทำ ให้มากขึ้น เช่น ถ้า คนนั้น เป็นคนใจบุญ เขา ก็สามารถ ทำบุญ ได้มากขึ้น หรือ คนนั้นที่เป็นคน คดโกง เขา ก็จะโกงมากขึ้น ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเงิน เงินจะทำให้คุณเป็นสิ่งที่คุณเป็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
- “ เงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ ” ในความเป็นจริง คุณคิดว่า เงินสามารถ แลกเปลี่ยนเป็นความสุขได้หรือไม่ เช่น ไปทานอาหารที่ร้านอาหาร โดยสั่ง อาหารจากเมณู ตามที่คุณ ต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคา ก่อน แต่ถ้า ถ้าไม่ใช่คนมีเงินมาก สิ่งสำคัญต้องดู คือ จะสั่งอาหารอะไรก็ตาม เขา ต้องดูจากราคาอาหารประกอบ ก่อนการสั่ง ครั้งนั้นๆ ใช่หรือไม่
- “ คุณไม่สามารถมีเงิน และ มี ความสุขได้ ” ในความเป็นจริง คุณสามารถมีทั้ง 2 อย่างได้พร้อมกัน เช่นเมื่อคุณ มีเงินมากขึ้น คุณสามารถ เอาเงินของคุณ ไปท่องเที่ยว ในที่ๆ คุณ ต้องการจะไป อยากพักเมื่อไรก็ได้ และ ทำในสิ่งที่คุณต้องการอย่างอิสระ อย่างนี้มันน่าที่จะมีความสุขมากกว่า ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามีเงินน้อย เราต้องทำงานเพราะ เรามีความจำเป็นที่ต้องทำ นั่นคือการมีเงินน้อย เราจึงจำเป็นต้องทำงานเพื่อ แลกกับเงิน แม้นว่าบางครั้งจะไม่อยาก ทำ เหตุที่ทำไปเพราะเรา ต้องการนำเงินมาใช้ เป็น ค่าใช้จ่ายที่ จำเป็นต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน เป็นต้น
- “ เงินไม่สำคัญขนาดนั้นหลอก ” ผมขอเดาเอาว่าคนที่พูดประโยคนี้ คนๆ นั้นกำลังถังแตกอยู่ ผมอยากถามคุณ ว่า ถ้าคุณบอกว่า (คนรัก, สามี , ภรรยา ) ว่า เขาไม่สำคัญ คุณคิดว่า แล้ว เขาเหล่านั้นจะอยู่กับคุณ มัย เงินก็เช่นกัน มันจะอยู่กับเจ้าของที่เห็นคุณค่าของมัน ไม่รังเกียจมัน
- ในช่วงต้นที่กล่าวมานั้น จะเน้นไปที่ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึง การลงมีทำ ดังคำกล่าวที่ว่า “ การเดินทาง หมี่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรกเสมอ ” ถ้าคิดแต่ไม่ลงมีทำ มิอาจสร้างความสำเร็จขึ้นมาได้
อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....
แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน
Plan To Success. 1Plan To Success. 2
Plan To Success. 3
Secret Of The Millionaire Mind
Investment Method
Investment Strategy
กูรูหุ้น 1000 ล้าน
เซียนหุ้น100 ล้าน
ข้อผิดพลาดในการลงทุน
Why most people to invest Unsuccessful
KEEP YOUR MONEY FORM TAX
เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMFเก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax



0 comments:
Post a Comment