Showing posts with label Knowledge. Show all posts
Showing posts with label Knowledge. Show all posts

Monday, February 4, 2013

Stocks Today,4.Feb.2013

Stocks Today,23.Jan.2013

หุ้นวันนี้




23/1/2013 17:21 ....SUPPORT…. …RESISTANCE… …..NOW…..
BECL 38.5-39.25 41.25-42.25 39.75
MCOT 45.5-46.25 48.5-52.0 46.75
SST 15.0-15.1 16-16.5 15.3

เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ

อย่าเฝ้ารอให้โอกาสเดินมาหา
แต่จงเป็นคนเดินไปหาโอกาสเอง


Comment: ตลาดหุ้นวันนี้ปิด 1439.20 จุด บวก 5.11 จุด  ปริมาณซื้อขาย 54399.26 ล้านบาท หุ้นที่ให้เล่น ตามแนวรับแนวต้านครับ ดูคำอธิบายใต้กราฟครับ



สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมตาม ลิงค์นี้ครับ 
เกล็ดความรู้ สรุปผลหุ้นที่ให้ไป 
Stock Focus Gold & Stock Daily
Gold Daily หุ้นพื้นฐาน


กดที่กราฟ เพื่อขยายภาพ หุ้นวันนี้ .....


MBK ตัวนี้เริ่มระเบิดขึ้นมาไม้แรกๆ น่าสนใจ
MAJOR จุดที่ควรเฝ้าติดตามคือ ไม่ควรหลุด 20.4 และุ้ วิ่งผ่าน 21.1 แล้วจะดีมาก

AIRP ต้องวัดใจกันที่ 1.38 ซักทีหนื่งก่อน แล้วผ่าน 1.44 น่าจะเห็นราคาขึ้นดีๆ กันซักตั้ง

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลให้กับสมาชิกของ http://www.stockscorner.com เท่านั้น มิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะหรือเชิญชวน เพื่อการ ซื้อ,ขาย ตราสารทุน หรือ ตราสารอนุพันธ์ ผู้อ่านควรตัดสินใจซื้อหรือขายตราสารทุน, ตราสารอนุพันธ์โดยใช้วิจารณญาณของตนเอง ทาง http://www.stockscorner.com ปราศจากความรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากการใช้ข้อมูลในรายงานนี้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งหมด หรือบางส่วน

Read more »

Sunday, September 2, 2012

Plan To Success 2,แผนผังการเงินสู่ความสำเร็จในการลงทุน ต่อ

แผนผังการเงินสู่ความสำเร็จในการลงทุน ต่อ











  • คุณคิดว่า ถ้ามีคนมาถามคุณว่า คุณอยาก รวย และมีความสุขมัย ? คุณจะตอบว่าอย่างไร ผมว่าคนอีก หลายพันล้านคนทั่วโลก ถ้าได้ตอบคำถามคง ตอบออกมาว่าใช่อย่างแน่นอน แต่มีกี่คนที่สามารถ มีความสุขและ มีเงินมากมายและประสบควารสำเร็จในการลงทุนได้ ซึ่งน้อยมาก ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง คือ ความคิด และ ความรู้สึก (ความต้องการ) มันยังไม่ใช่องค์ประกอบ ที่สมบูรณ์ ของความสำเร็จ นั่นเอง ช่วงก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับ ความเชื่อที่ผิด ที่ได้รับจากประสบการณ์ หรือ คำพูด ความเชื่อ ที่ได้รับได้ยินมาในวัยเยาว์ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวของเรา และ นำทางชีวิตของเรา ให้มีสภาพ การเงิน ความคิด และการกระทำ จวบจนปัจจุบัน แต่ถ้าคุณคิดว่า คุณต้องการปรับเปลี่ยน อนาคต ของคุณ แล้วละก็ คุณต้องล้างโปรแกรม เก่าที่ ไม่สนับสนุน กับสิ่งที่คุณต้องการจะเปลี่ยน แล้วลงโปรแกรมใหม่ซึ่งสนับสนุน ในสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต ในความคิดของผมเอง สมองของคนเราก็เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งรับการติดตั้งโปรแกรมมา พร้อมกับแฟ้มข้อมูลจำนวนมาก และ เมื่อเจอสถาณการ์ต่างๆ การตัดสินใจ ก็คือการเลือกใช้แฟ้มข้อมูลในสมอง ที่เกี่ยวข้องออกมาใช้ จุดสำคัญก็คือ ระหว่างการตัดสินใจ จะมีการเลือกแฟ้มข้อมูลออกมาใช้ จะถูกเลือก ระหว่าง อารมณ์ หรือ เหตุผล ซึ่งโดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่ การใช้อารมณ์ มักจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้เหตุผล มีโอกาสชนะอารมณ์ มากยิ่งขึ้น ก็คือการ การปลูกฝังความเชื่อที่ ถูกและเหมาะสมกับสิ่งที่คุณต้องการในอนาคตด้วย เมล็ดพันธ์ความเชื่อที่ดี และพยายามหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่ดี และเมล็ดพันธ์ความเชื่อที่ผิดออกไป
  • คนที่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต และ ในการลงทุน มีความเชื่อว่า เขาสามารถ กุมชะตาชีวิตและสร้างหนทางสู่ความสำเร็จด้วยตนเอง รับผิดชอบต่อสิ่งที่ ตนเองกระทำ มิใช่สวมบทผู้ถูกกระทำ (นักกล่าวโทษ,นักแก้ต้ว,นักบ่น)
  • ตัวอย่าง นักกล่าวโทษ
  • เมื่อมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่ร่ำรวย หรือไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาจะเริ่มโทษ ทุกๆ สิ่งที่มไม่ใช่ตัวเขา เช่น เศรษฐกิจ , รัฐบาล , บริษัท , หัวหน้างาน , โทษลูกน้อง ,โทษ ครอบครัว , โทษหุ้นส่วน , โทษคู่สมรส , โทษ พ่อแม่ หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวของเขาเอง
  • ตัวอย่าง นักแก้ตัว
  • เมื่อมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่ร่ำรวย หรือไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาจะแก้ตัวว่า “เงินไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก ”, “ความรักสำคัญกว่าเงิน”, ”คุณไม่สามารถมีความสุข และมีเงินด้วย”, “ผมเลือกควารสุขมากกว่าเงิน”, “เศรษฐกิจไม่ดี” , “รํฐบาลดำเนินนโยบาย แย่” ,”บริษัทฯ ไม่มีธรรมาภิบาล” , “ คนรวยซื้อหุ้นดีๆ ไปหมด เหลือแต่ หุ้นไม่ดีในตลาด ”, ”ประเทศนี้ไม่มีอะไรที่ลงทุนแล้วได้กำไร”,”ฉันไม่มีวันรู้เลยว่าเขาชอบที่ตัวฉัน หรือเงิน” ,”คงเป็นงานที่หนักเกินไป”, “แล้วถ้าเราได้กำไรมาแล้วต้องเสียมันไปละ” , “ฉันคงต้องเสียภาษีหัวบานเลย” ,”ทุกคนคงอยากจะขอเงินฉัน”ฯลฯ

  • ตัวอย่าง นักบ่น









  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองหลายท่านบอกไว้ว่า กฏแห่งแรงดึงดูด “คู่เหมือนดึงดูดคู่เหมือน” หมายความว่า คุณชอบบ่นเรื่องอะไร เท่ากับคุณ กำลังดึงดูด สิ่งที่คุณบ่น “สิ่งที่คุณไม่ชอบและไม่ต้องการ” เข้ามาในชีวิต
  • คุณเคยเห็นคนชอบบ่น มีชีวิตที่ยากลำบาก ทุกอย่างสามารถผิดพลาดได้ทุกอย่างมักจะดูผิดไปเสียทุกอย่างจริง สำหรับคนพวกนี้ คนกลุ่มนี้มักชอบ บ่น กล่าวโทษ ทุกสิ่ง และแก้ตัว เพราะการบ่นเป็นเหมือน การระบาย หรือ หาทางออก บรรเทาความเครียด จากความล้มเหลว
  • ถ้าคุณพบว่าคุณเองเริ่ม กล่าวโทษ หาข้อแก้ตัว หรือ พร่ำบ่น ให้รีบเตือนตัวเองว่า คุณกำลังลิขิตชีวิตของตัวคุณเองอยู่ คุณสามารถที่จะดึงดูด ความสำเร็จ โดยต้องเลือกสรร การใช้ความคิดและ ถ้อยคำ อย่างชาญฉลาด และไม่ไปสวบบทผู้ถูกกระทำ เพราะ “โลกนี้ไม่มีผู้ถูกกระทำที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จได้”
  • เมื่อพูดถึง การสวมบท ผู้ถูกกระทำ ก็มีข้อดีคือ ผู้ที่สวมบทดังกล่าวมักจะได้รับความสนใจ ซึ่งหลายคนก็สับสัน ระหว่าง ความสนใจ กับความรัก สิ่งหนึ่งก็คือ เมื่อคุณต้องการเป็นที่สนใจโดย สวบบทของผู้ถูกกระทำ คุณก็จะโหยหามันอยู่ตลอดเวลา โดยมากคนกลุ่มนี้ลงเอยโดยการเป็น ผู้เอาใจคนอื่น ก้มหน้าก้มตาเรียกหาการยอมรับจากใครๆ ซึ่ง เข้าใจผิดว่าสิ่งที่ได้รับนั้น คือความรัก คนกลุ่มนี้ไม่ประสบความสำเร็จ และร่ำรวยจากการลงทุน เพราะต้องการเป็นที่สนใจ จึงพยายาม คงสถานะ ความจนเอาไว้สุดความสามารถ โดยไม่รู้ตัว เพราะจิตรใต้สำนึก ดำเนินการเหมือนถูกโปรแกรมไว้นั่นเอง
  • ถึงเวลาแล้ว ที่คุณเลือกเอาว่า คุณ จะเป็นจอมเรียกร้อง ความสนใจ หรือ จะเป็นคนที่ ประสบความสำเร็จ ที่ร่ำรวยจากการลงทุนและเชื่อว่า “คุณเป็นผู้ลิขิตระดับความสำเร็จ และการลงทุน ของตัวเอง”
  • คนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน และ การลงทุน มักจะมีแบบแผนการเงินแบบตั้งรับมากว่าเชิงรุก ส่วนคนที่ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน และ การลงทุน และโดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นแผนแบบเชิงรับ ซึ่งจุดประสงค์การลงทุนเพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ ร่ำรวย แล้วเป้าหมายของคุณคือ อะไร? คนรวยทุ่มเทเพื่อความร่ำรวย แต่คนที่ไม่รวย ก็แค่อยากรวย
  • ความอยากนั้นมี 3 ระดับ ระดับที่ 1 อยากรวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน ถ้าสิ่งนั้นตกลงมาถึงมือ แล้วละก็ ฉันจะกำมันไว้ให้แน่น ,ความอยากระดับ 2 คือการตัดสินใจที่รวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน , ความอยาก ระดับที่ 3 คือการตัดสินใจมุ่งมั่น ทุ่มเทอย่างไม่ยั้ง ซึ่งหมายถึงการลงแรงอย่างเต็มที่ และเอาจริงเอาจัง เพื่อที่จะรวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่คนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้อยู่ในระดับนี้ มักจะอยู่ในระดับที่ 1,2 เท่านั้น ผมคงต้องบอกว่า ในระดับที่ 3 นั้น คุณต้องทำในสิ่งที่ไม่ง่ายและคุณต้องเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าคุณทำได้และมุ่งมันกับการสร้างฐานะให้ประสบคววามสำเร็จในการลงทุนให้ร่ำรวย คุณก็จะมีโอกาสร่ำรวยในที่สุด (คุณเต็มใจที่จะทำงาน วันละ 17 ชั่วโมง ทุกวันหรือไม่ ? , คุณเต็มใจที่จะศึกษาหาข้อมูลบริษัทที่คุณต้องการจะลงทุน ทุกแง่มุมไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางพื่นฐาน รวมทั้งปัจจัยทางเทตนิค หรือไม่ ? ,คุณยินดีที่จะอ่านบทวิเคระห์ของบริษัทที่คุณสนใจจะลงทุน จากหลายๆ โบรกเกอร์ที่ทำออกมาหรือไม่ , คุณยินดีที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาการลงทุนของคุณให้ดีขึ้นหรือไม่, คุณยินดีที่จะเข้าสัมนาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับการลงทุนหรือไม่, คุณยินดีที่จะดูงบการเงิน และวิเคราะห์งบการเงินบริษัทที่คุณสนใจหรือไม่, คุณพร้อมที่จะเรียนรู้จากการผิดพลาดและ ยอมรับมัน จากการลงทุนที่ผิดพลาดของคุณหรือไม่) ถ้าคุณตอบคำถามที่กล่าวมาข้างต้นได้ คุณก็สามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่า ความสำเร็จของคุณ จะอยู่ในระดับไหน แบบ คร่าวๆ แล้ว ซึ่งเมื่อคุณต้องการเปลี่ยนระดับที่ คุณก็ต้องจะไป คุณต้องปรับสิ่งที่คุณต้องทุมเทลงไปในจุดที่คุณ คิดว่าจะสามารถเพิ่มให้คุณก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า และประสบกับความสำเร็จสูงขึ้น และ ร่ำรวยขึ้น และมีอะสิรภาพทางการเงิน และเวลา มากขึ้น (อะไรที่มากกว่าการซื้อ ถือไว้ และ ภาวนา)


  • “ไม่มีใครบังคับให้คุณลงทุนซื้อ หรือ บังคับให้คุณขาย 

    คุณนั่นแหละคือผู้ตัดสินใจ ”















  • สำหรับผู้ที่ได้อ่านบทความก่อนหน้านี้ แล้วมีความคิดที่จะมุ่งสู่ความร่ำรวย กว่า ใน สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนและการเลือก เส้นทางที่จะทำให้คุณ ร่ำรวยขึ้น และเป็นเส้นทางเพื่อนำคุณไปพบกับอิสระภาพทางการเงิน และ เวลาได้ในที่สุด
  • ก่อนที่จะไปต่อ ผมอยากจะเสนอแนวความคิดหนึ่ง ซึ่งตัวผมเองเคยอ่านและคิดว่ามันมีประโยชน์มาก รวมทั้งจะทำให้คุณเลือกเส้นทาง ที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้นในการพาคุณ พบกับอิสระภาพทางการเงิน ได้ รวดเร็วขึ้น หนังสือที่ว่าคือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ Robert Kiyosaki เขาได้แบ่งงานที่มีอยู่หลายสิบล้านอาชีพ ออกเป็น สี่กลุ่ม E S B I โดยใช้แหล่งที่มาของรายได้เป็นตัวแบ่งประเภท ของอาชีพทั้งหมด



  • ความหมาย

    E


    หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ รับจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ ครู คนขับรถแท็กซึ่ ฯลฯ จุดสังเกดของคนอาชีพกลุ่มนี้คือ รายได้ที่ได้รับ มาจากการทำงานเท่านั้น และเมื่อใดที่ลาออก หรือ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วย

    S


    หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ ธุรกิจ ส่วนตัว เช่น เจ้าของร้านชำ , เจ้าของคลีนิกฟัน , ทนายความ ,ตัวแทนขายประกัน , เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า ฯ ( จุดสังเกตอาชีพนี้คือ เขาจะได้รับรายได้จากการทำงานตามผลงาน ที่ทำได้ แต่รายได้ยังคงมาจาก ตัวของผู้ประกอบการ ต้องลงมือทำ จึงจะก่อให้เกิดรายได้ และ เมื่อ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วย)

    B


    หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ เจ้าของธุรกิจ เช่น เจ้าของ โรงพยาบาล , เจ้าของโรงเรียน, เจ้าของเบียร์ช้าง , เจ้าของอาพาร์เม้นให้เช่า ,เจ้าของดาวเทียม , เจ้าของช่อง 3 , เจ้าของธุรกิจเช่ารถแท็กซี่ ,เจ้าของลิขสิทธิ หนังสือแฮลี่พอสเตอร์ , ธุรกิจเครือข่าย ฯ (จุดสังเกตของคนอาชีพนี้ คือ เมื่อเขาหยุดทำงาน แต่ รายได้ของพวกเขาไม่หยุดตาม รายได้ยังคงเดินต่อ ไม่ว่าเขาจะทำงานหรือไม่ก็ตาม)

    I


    หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ นักลงทุน เช่น ผู้ลงทุนในหุ้น , ลงทุนในพันธ์บัตร , ลงทุน ทอง เงิน น้ำมัน อื่น, ฯลฯ (อาชีพนี้มีจุดสังเกตคือ ตัวผู้ลงทุน อาจจะไม่จำเป็นที่จะเจ้าของ ทั้งหมดในบริษัทที่ลงทุน แต่เป็นเจ้าของบางส่วน “เป็นหุ้นส่วน” ก็ได้ หรือเป็นเจ้าของทั้งหมดก็ได้ และสิ่งทีนักลงทุนจะได้รับคือ ผลตอบแทนจากการลงทุน, ดอกเบี้ย ,เงินปันผล , สิทธิประโยชน์อื่นๆ เป็นผลตอบแทน ซึ่ง อาชีพนี้ รายได้ของนักลงทุน มาจากการลงทุน เขาจึงสามารถ มีรายได้ที่เป็นอิสระ โดยที่ตัวนักลงทุนเอง จะทำงาน หรือไม่ต้อง ทำงาน รายได้ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง










  • ที่ผมเสนอ E S B I มาเพราะคิดว่าผู้อ่านจะเข้าใจ ว่าการที่จะไปสู่อิสระภาพทางการเงินนั้น บางอาชีพ นั้น ไม่สามารถจะไปได้ด้วยอาชีพ เพียงอาชีพเดียว เพราะ แหล่งที่มาของรายได้ นั่นเอง แต่ไม่ว่าอาชีพใดก็สามารถเป็นอิสระภาพทางการงินได้ เพียงคุณ ต้องรู้ว่า ตัวคุณเองอยู่ในส่วนใดขอ E S B I ถ้าคุณ อยู่ใน ฝั่งด้านซ้ายจากรูป คือ E กับ S ซึ่งที่มาของรายได้ คือ คุณต้องทำงาน เท่านั้น คุณก็พยายามก้าวไปสู่ฝั่ง ขาว จากรูป เพราะแหล่งที่มาของรายได้ มาจาก การลงทุน , การเป็นเจ้าของธุรกิจ ,เจ้าของลิกขสิทธิ ซึ่งคุณจะทำงาน หรือ ไม่ทำงาน รายได้ก็ยังคงมีมาหาคุณ ตลอด แล้วทำอย่างไร จึงจะมีรายได้ที่ไม่ต้องทำงานละ?


  • สิ่งที่ควรจะมีเพื่อนำทางสู่อิสระภาพทางการเงิน
  • 1 ต้องมีเงินออม
  • 2 ความรู้ และ ประสบการณ์ ความชำนาญ
  • 3 ลงทุน/ทำธุรกิจ ในสิ่งที่ได้ศึกษาและเก็บข้อมูลมาแล้ว หรือ จากประสบการณ์ หรือ ความเชี่ยวชาญ
  • 4 ประเมินผล จากการลงทุน หรือ ทำธุรกิจ

  • ข้อความจาก GUIDE TO INVESTING พ่อรวยสอนลูกลงทุน
    อะไรที่ทำให้นักลงทนในกลุ่ม 10% ที่ประสบความสำเร็จ แตกต่างจากนังลงทุนทั่วไป สิ่ที่แตกต่างกันคือ ความคิดระหว่างนักลงทุนทั่วไป กับ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มีอยู่ 10% ในตลาด ซึ่งคนกลุ่มนี้ทำเงินได้ 90 % ของตลาด คือ
  • 1 นักลงทุนส่วนใหญ่พูดว่า “อย่างเสี่ยง” แต่นักลงทุนที่รวยกล้าเสี่ยง ( ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การขาดควาวมรู้ ประสบการณ์ และ เงินเหลือ )
  • 2 นักลงทุนส่วนใหญ่พูดว่า “ต้องกระจายความเสี่ยง” แต่นักลงทุนที่รวยลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง
  • 3 นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามมีหนี้น้อยที่สุด แต่นักลงทุนที่รวย ชอบเพิ่มหนี้ (หนี่ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น)
  • 4 นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามลดค่าใช้จ่าย แต่นักลงทุนที่รวย รู้ว่าควรเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างไรจึงจะทำให้รวยขึ้น (ค่าใช้จ่ายที่สามารถ เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น)
  • 5 นักลงทุนทั่วไป ทำงาน แต่นักลงทุนที่รวย สร้างงาน
  • 6 นักลงทุนทั่วไปทำงานหนัก แต่นักลงทุนที่รวย ทำงานน้อยลง และทำเงินได้มากขึ้น (การใช้เงินทำงานแทน)

  • อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....>




    แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน

    Plan To Success. 1
    Plan To Success. 2
    Plan To Success. 3
    Secret Of The Millionaire Mind
    Investment Method
    Investment Strategy
    กูรูหุ้น 1000 ล้าน
    เซียนหุ้น100 ล้าน
    ข้อผิดพลาดในการลงทุน
    Why most people to invest Unsuccessful

    KEEP YOUR MONEY FORM TAX

    เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMF
    เก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
    เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
    เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
    เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
    ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax

    อื่นๆ

    การเลือกคบคน

    Read more »

    Friday, August 24, 2012

    เก็บเงินคืนจากภาษี ด้วย LTF และ RMF


    เก็บเงินคืนจากภาษี ด้วย LTF และ RMF


              ก่อนจะเข้าเรื่องต้องขอ เกรินนำสักหน่อย กล่าวคือ บุคคลธรรมดา , ห้างหุ้นส่วน , บริษัท หรือผู้มีรายได้ จะต้องเสียภาษีให้กับทางภาครัฐ รวมถึงผู้ที่ได้รับมรดก แต่กฎหมายก็ได้ให้ข้อยกเว้นหลายอย่าง เพื่อให้ ผู้เสียภาษี สามารถนำมาลดหย่อนได้ นี่ก็คือประเด็นหลักที่ทำให้ผมนำเรื่องนี้มาแชร์ เพื่อให้เพื่อนๆ  เก็บเงินคืนจากภาษี ได้จากทางใดบ้างในช่วงนี้ ก็จะเริ่มจากความหมายของ LTF และ RMF ก่อน

    LTF  กองทุนรวมหุ้นระยะยาว

                กองทุนนี้จะนำเงินของผู้ซื้อหน่วยลงทุนไปลงทุนใน หุ้นสามัญที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ อย่างน้อย 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ จะต้องลงทุน 5 ปี ปฏิทิน  และสามารถขายหน่วยลงทุนได้ ปีละ 2 ครั้ง แต่จะซื้อกี่ครั้งใน 1 ปี ก็ได้

    RMF กองทุนเพื่อการเกษียรอายุ

                  กองทุนนี้จะนำเงินของผู้ซื้อหน่วยลงทุนไปลงทุน ในสินทรัพย์ หลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ พัธบัตร ฝากธนาคาร ตั๋วแลกเงิน ทองคำ อื่นๆ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกองทุน การลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปี หรือ 15% ของรายได้ทั้งปี และต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี จนกว่าอายุเราจะถึง 55 ปี  ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี ไม่อนุญาติให้โอนและจำนำหน่วยลงทุนได้  (สามารถให้ ลงทุน ปี เว้น ปี ได้) จึงจะสามารถไถ่ถอนได้ เงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง คือ หากมีการขายคืนหน่วยลงทุนก่อนกำหนด จะโดนเรียกภาษีที่เคยหักลดหย่อนไปแล้วคืน 5 ปี ปฏิทินย้อนหลัง การลงทุน RMF จะไม่มีการจ่ายเงินปันผล ผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนจะทบ รวมเข้าไปในกองทุน และจะได้คืนทั้งหมดเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ข้อดีของ RMF คือสามารถ สับเปลี่ยนกอง ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายมากกว่า LTF  

    เงื่อนไขในการเก็บเงินคืนจากภาษี

    การซื้อหน่วยลงทุน LTF เราสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษี ได้ แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวม และไม่เกิน 500,000 บาท รวมทั้ง ห้ามขายออกเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี กองทุนที่ซื้อแล้วได้หักภาษีต้องเป็นกองทุนที่จัดตั้งและจดทะเบียนกองทุนภายในเดือน มิ.ย. 2550 และต้องมีอายุกองทะนไม่ต่ำกว่า 10 ปี

              การซื้อหน่วยลงทุน RMF เราสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษี ได้ แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวม และไม่เกิน 500,000 บาท รวมทั้ง ห้ามขายออกเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และห้ามไถ่ถอนการลงทุน ก่อนอายุ 55 ปี

                การซื้อหน่วยลงทุน LTF นั้นไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี จะซื้อปี เว้นปี ก็ได้แต่จะต้องซื้อภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2559 เท่านั้น

    การซื้อหน่วยลงทุน RMF นั้นไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี จะซื้อปี เว้นปี ก็ได้แต่ไม่สามารถไถ่ถอนการลงทุน ก่อนอายุ 55 ปี

                การไถ่ถอน LTF สามารถทำได้ปีละ 2 ครั้ง แต่จะซื้อกี่ครั้งก็ได้ จะซื้อเฉลี่ยทุกเดือนก็ได้  

    การโอนย้ายการลงทุน RMF (ย้ายกอง) สามารถทำได้ กี่ครั้งก็ได้ จะซื้อเฉลี่ยทุกเดือนก็ได้  แต่ไถ่ถอนไม่ได้ เพราะจะถูกคิดภาษีที่ได้หักลดหย่อนคืน

    การซื้อ  LTF มีจุดเด่นตรงระยะเวลาการถือครองกองทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ส่วนนี้นับจากปีหฏิทิน เพราะไม่ว่าจะซื้อวันไหน ในปีนั้นๆ ก็ถือว่าได้ถือหน่วยลงทุนมาแล้ว 1 ปี

    ตัวอย่างใช้เทคนิคซื้อ LTF   ถ้าเราซื้อหน่วยลงทุนในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 เราสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ในปีเดียวกันที่กำหนดให้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2555 และนับเป็นการลงทุนแรกเลย จากนั้นถือหน่วยลงทุนเก็บไว้ ในปี 2555 จะเป็นปีที่ 2 ที่ถือหน่วยลงทุน ต่อมาในปี 2558 เมื่อเปิดทำการวันแรกก็ขายหน่วยลงทุนออกไปได้เลยเท่ากับว่าเราถือหน่วยลงทุนสุทธิแค่ 3 ปี 2 วัน เท่านั้น


    ตัวอย่าง การลงทุนใน LTF  หรือ RMF ปีละ 200,000 บาท แต่ถ้าเราเสียภาษี ในอัตรา 20% เราจะได้เงินคืน 40,000 บาท เมื่อครบกำหนดในปีที่ 5 เมื่อเงินก้อนเดิมที่ได้ทั้งหมดไปลงทุนต่ออีก ถ้าเราทำแบบนี้ สัก 5 ปี เราจะได้ภาษีคืน (40,000 X 5 = 200,000) บาททีเดียว ** หมายเหตุ LTF+RMF ต้องไม่เกิน 15%  ของรายได้ และไม่เกิน 500,000 บาท

    การซื้อ  RMF มีจุดเด่นตรงที่ สามารถเปลี่ยน กองทุนให้เหมาะสมกับสถาณการณ์ ได้เรื่อยๆ และ กองทุนแต่ละกองลงทุนในสินทรัพย์ ที่แตกต่างกัน

    เคล็ดลับการซื้อกองทุนรวม

                ก่อนจะซื้อกองทุนรวม LTF  เพื่อลดหย่อนภาษี ควรดู ฐานภาษี ของเราก่อนว่า อยู่ที่ เท่าไร 30% ,20% , 10%  สมมุติว่าเรามีฐานภาษีที่ 10% และคาดว่าตลาดหุ้นจะตงลงไป 10% ก็ไม่ควรซื้อกองทุนรวม LTF เพื่อลดหย่อนภาษี แต่ถ้าฐานภาษี อยู่สูงกว่าก็ซื้อได้ เพราะจะมีส่วนกำไรจากภาษีอยู่  ที่สำคัญ คือไม่ควรลงทุนเกินสิทธิที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพราะจะเสียโอกาส


    อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....>




    แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน

    Plan To Success. 1
    Plan To Success. 2
    Plan To Success. 3
    Secret Of The Millionaire Mind
    Investment Method
    Investment Strategy
    กูรูหุ้น 1000 ล้าน
    เซียนหุ้น100 ล้าน
    ข้อผิดพลาดในการลงทุน
    Why most people to invest Unsuccessful

    KEEP YOUR MONEY FORM TAX

    เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMF
    เก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
    เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
    เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
    เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
    ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax

    อื่นๆ

    Read more »

    Sunday, August 12, 2012

    Plan To Success 1

    แผนผังสู่ความสำเร็จในการลงทุน

    • คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ในโลกของการลงทุน นั้นมี คนที่ มีความรู้ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ อยู่มากมาย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็น่าที่จะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อมีความรู้มาก และ เทคนิค ผสมผสานกันแล้ว ก็น่าจะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนจำนวน มากๆ แต่ในความเป็นจริง คือ มีคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนน้อย มาก สาเหตุ มันเกิดจากอะไร มีอะไรผิดพลาด นั้น คุณอาจจะได้ค้นพบ จาก เนื้อหาและองค์ประกอบต่อไปนี้ก็เป็นได้


    • ก่อนอื่นผมอยากให้คุณจินตนาการ ถึงต้นไม้สักหนึ่งต้น สมมุติว่ามันคือต้นไม้แห่งชีวิต และบนต้นนั้นมีทั้ง ดอกไม้ เต็มไปหมด ในชีวิตจริง ผล และ ดอกนั้น คือผลลัพธ์ เมื่อเรามองดูผล และ ดอกไม้นั้น (ผลลัพธ์ของเรา) แล้วเรารู้สึกไม่พอใจนัก ลูกมันไม่สวย ผลเล็ก หรือรสชาติไม่ได้เรื่อง
    • แล้วเรามักจะทำอย่างไร? ในคนส่วนใหญ่แล้ว มักให้ความสนใจ และ จดจ่อ อยู่กับ ดอก และ ผล ของเขามากขึ้น แต่เราจะลืมไปว่า อะไรกันแน่ที่ ที่ก่อให้เกิด ผล และ ดอก ขึ้นมา ก็คือ เมล์ดพันธุ์ และ รากไม้ และเมล็ดพันธ์ต่างหากที่ทำให้ต้นไม้ ผลิดอก ออก ผลมา มันคือสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน สร้างสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดิน สิ่งที่เรามองไม่เห็น สร้างสิ่งที่เรามองเห็น ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นคืออะไร มันหมายความว่าถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลง ผล และ ดอก ให้ เป็นไปอย่างที่เราต้องการ เราต้องเริ่มแก้จากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
    • เป็นไปได้มากว่า คนบางคน อาจกล่าวว่า เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น แต่ผมอยากจะถามว่า คุณเชี่อว่าไฟฟ้ามีจริงไหม มันมองไม่เห็น แล้วคุณเชื่อมัยว่า มันมีอยู่จริง ลองเอานิ้วของคุณ ใส่ไปที่เสียบปลั๊กไฟดู แล้วคุณจะรู้
    • ในโลกที่เราอาศัยอยู่ นั้น จะมีสิ่งที่ตรงข้ามกัน ทุกอย่างมี ขึ้น มี ลง มี ร้อน เย็น มีมืด มีสว่าง มี ซ้าย มีขวา ฯลฯ ก็เหมือนกันกับการลงทุน มีความรู้จาก ภายนอก ( การวิเคาะห์ตามปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์ ตามปัจจัยทางเทคนิค ความรู้ทางธุรกิจ การบริหารเงิน กลยุทธ์ในการลงทุน ฯ) ความรู้จากภายใน ซึ่งมองไม่เห็น เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ผมขอสมมุติให้คุณ เข้าใจ ถ้ามีช่างแกะสลักไม้ กับ เครื่องมือแกะสลัก แม้นว่า ช่างแกะสลัก จะมีเครื่องมือแกะสลักดีสักปานใด ถ้าตัวช่างเอง ไม่มี ความสามารถทางศิลป์ จากภายในตัวช่างเองแล้ว ก็คงไม่สามารถ ผลิตผลงานในงามวิจิตร ออกมาได้
    • คุณเคยได้ยินคนที่ ผลาญ เงินตัวเองมาบ้างไหม แม้นว่า เขาจะมีเงินมากมายขนานไหน ก็ ผลาญ จนหมด หรือบางคน ก็มีโอกาสเริ่มซื้อหุ้น ในราคาถูก แต่กลับขายไปในราคา ขาดทุน หรือ เท่าทุน หรือ ขายไปได้กำไรเล็กน้อย แล้วหลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปอีกไกล รวมทั้ง คนที่มีโอกาสในการลงทุนดีๆ ในธุรกิจที่ดี ในเวลาเหมาะสม แต่กลับล้มไม่เป็นท่า เขาอาจบอกเหตุผลมามากมาย เช่น โดนเพื่อน หักหลัง, ธุรกิจโดยรวมกำลังแย่, จังหวะไม่ดี , ภาครัฐไม่สนันสนุน ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมอยากให้คุณลองมองย้อนไปว่า ความจริงแล้ว การกระทำทุกๆ อย่าง เขา คือคนตัดสินใจ ไม่มีใครมาบังคับเขาใช่หรือไม่ การหาเหตุผลมาเพื่อ ในตัวเขาเองรู้สึกดีขึ้นได้ แต่มันไม่สามารถแก้ปัญหา ที่แท้จริงได้ ในเมื่อปัญหาที่แท้จริงยังไม่ถูกแก้ไข เหตุการณ์ แบบนี้ก็ จะเกิดซ้ำ อีก จนกว่าปัญหาจริงๆ จะถูกแก้ไข ซึ่ง เป็นไปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง เป็นปัญหาจาก ภายใต้จิตรสำนึกของเขา ยังไม่พร้อม หรือต่อต้าน จำนวนเงิน ที่มากกว่าที่เขาตั้งไว้ และ เมื่อคุณมีเงินก้อนใหญ่ ในขณะที่สภาพจิตรใจ คุณยังไม่พร้อม เงิน จำนวนนั้น ก็อาจจะอยู่กับคุณไม่นาน แล้วคุณก็เสียมันไปในที่สุด
    • ตัวอย่างที่ชัดเจนมาก คือคน ถูกหวย ไม่ว่า พวกเขาจะถูกหวยด้วยจำนวนเงินเท่าไร คนที่ถูกหวยส่วนใหญ่มักกลับมามีฐานะทางการเงินเท่าเดิม ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด
    • ในทางตรงกันข้าม เศรษฐีเงินล้านที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง ลองเกตดู พวกเขาสามารถหาเงินมาได้ หลังจากที่เสียเงินไปก่อนหน้านั้น พวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างอย่างเดิม ได้ มันเป็นเพราะเหตุใด
    • ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความคิด ของคนเป็นคนละแบบ ผลลัพธ์ก็จะออกมาต่างกัน เนื่องจาก เครื่องควบคุมตั้ง ขนานของเงินแต่ละคน ต่างกัน ซึ่งหลายๆ คน อาจจะอยู่ที่ 5 ล้าน ต่อปี บางคน 200000 ต่อปี บางคนอาจจะน้อยกว่า หรือมากว่า ซึ่งความจริงคือว่า คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำงานด้วยศักยภาพที่สูงสุด พวกเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และก็พูดได้ไม่เต็มปากว่า พวกเขามีความสุขอย่างแท้จริง
    • คุณเชื่อหรือไม่ว่า เราทุกคนมีแผนผังทางการเงิน และความสำเร็จ ฝังตัวอยู่ และแผนฝังทางการเงินนี้ คือโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้กำหนด ความสัมพันธ์ระหว่างคุณ กับ เงิน ซึ่งมีสูตร ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ มีชื่อเสียงหลายท่านใช้ เรียกว่า กระบวนการปรากฏผล (Process of Manifestation) ซึ่งมีสมการดังนี้


    • สมการเดิม                               ความคิด...> ความรู้สึก...> การกระทำ = ผลลัพธ์
      ปรับใหม่

                        การตั้งโปรแกรมใหม่..> ความคิด...> ความรู้สึก...> การกระทำ = ผลลัพธ์




    • เมื่อพูดถึงการตั้งโปรแกรม คุณเคยมีประสบการณ์ ฝังใจตอนที่คุณเป็นเด็ก ที่มีความเกี่ยวโยงกับเรื่อง เงินๆ ทองๆ มาบ้าง เช่น เงินคือสิ่งที่เลวร้าย, เก็บเงินใช้ ในยามยาก ,คนรวยเป็นคนละโมบ , เงินไม่ได้งอกมาตามต้นไม้ , คุณไม่สามารถเป็นคนรวย และ เป็นคนดีได้ , เงินซื้อความสุขไม่ได้, เงินซื้อความรักไม่ได้, เก็บเงินไว้ใช้เวลาลำบาก, เงินคือสิ่งสกปรก , ใช้เงินฟาดหัว , คนรวยไม่รู้จักพอ , เราไม่มีเงินซื้อหรอก , แกเห็นตัวฉันทำด้วยเงินเหรอ ฯ
    • ปัญหาก็คือ ทุกประโยคที่คุณได้ยิน หรือ ทุกการกระทำที่คุณสัมผัส มันจะติดอยู่ในจิตใต้สำนึก และก็จะกลายเป็นแผนผังที่จะกำหนด ชะตากรรม ด้านการเงินของคุณมาถึงปัจจุบัน “ ความคิดทุกอย่างจะไม่อยู่ในสมองของเราฟรีๆ ”
    • สมมุติว่า เด็กหญิง อายุ 5 ขวบ ไปเที่ยวกับครอบครัวที่ ห้างสรรพสินค้า แห่งหนึ่ง บังเอิญ เด็กหญิง ไปเห็นตุ๊กตา บาบี้ที่สวยงามมาก จึงขอให้ แม่ซื้อให้ แต่กลับได้คำตอบว่า แม่ไม่มีเงิน ไปขอพ่อซิ เด็กน้อย ก็ ไปขอพ่อ แล้วได้คำตอบว่า อย่าซื้อเลย เราต้องเก็บเงินไว้ใช้ เวลาเจ็บป่วย เด็กน้อย ได้ฟังดังนั้นก็ ร้องอย่างไม่คิดชีวิต พ่อแม่ ก็พยายามให้ ลูกเงียบลงให้จงได้ แต่ก็ไม่เป็นผล แม่ ก็เลยตะคอกลูกวัย 5 ขวบว่า เธอเห็นตัวพ่อทำมาจากเงินหรือยังไง แล้วก็ลาก ลูกน้อยออกจากห้างสรรพสินต้า กลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน แล้ว ทุกคนในครอบครับ ต้อง ทานอาหารด้วยกัน โดยที่ พ่อและแม่ ของเธอ จะสอนเธอว่า โตขึ้น ให้เป็นคนดีนะลูก เรียนหนังสือเก่งๆ จะได้งานดีๆ ทำ และก็อย่าเป็น คนละโมบ ไม่รู้จักพอ อย่างพวกคนรวย อ่านมาถึงตรงนี้ ผมอยากถามคุณว่า คิดยังไงกับเรื่องนี้
    • จากตัวอย่าง เมื่อเด็กหญิงคนนี้โตขึ้น ถ้าอดีตเด็กหญิงผู้นี้พบกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือเหตุการณ์คล้ายกันหลายๆ ครั้ง ความคิดและความรู้สึกภายใน (จิตรใต้สำนึก) ก็ อาจจะคิดไปเองว่า 1 ผู้หญิง ต้องไม่มีเงิน 2 คนมีเงินมาก เป็นคนไม่ดี เพราะคนมีเงินมากๆ ก็ จะเป็นคนรวย ที่ละโมบไม่รู้จักพอ ซึ่งเมื่อเธอโตขึ้น เมื่อเธอหาเงินมาได้ ไม่ว่าจะมาก หรือ น้อย เธอก็จะใช้ ไปจนไม่เหลืออย่างไม่รู้ตัว เพราะ จิตรใต้สำนึก บอกว่า ตัวเธอต้องเป็นคนดี คือ ไม่รวย ทั้งยังประสบการณ์ การขอเงินจากแม่ ของเธอและแล้ว แม่ บอกว่า “ แม่ไม่มีเงิน ไปขอ พ่อ ซิ ” ซึ่ง เมื่อเธอโตขึ้น เมื่อต้องการเลือก คบหาคู่ชีวิตในอนาคตเพื่อ แต่งงาน คุณ คิดว่า เธอจะเลือกคู่ชีวิต โดยมีปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยหลักละครับ ? คำตอบคือ คนๆ นั้นต้องมีเงินเมื่อเธอขอ
    • อาจจะมีคนสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรามาดูเรื่องนี้กัน สมมุติ ว่า เมื่อ หญิงสาว (มีรายได้เดือนละ 15000 บาท เธอมีกระเป๋าอยู่แล้ว หลายใบ รวมทั้งสีน้ำตามด้วย ทั้งยังต้องเช่าคอนโดอยู่ใกล้ที่ทำงาน เดือนละ 4500 เนื่องจาก บ้านเธอไกลที่ทำงาน ) เย็นวันศุกร์ เธอเดินเข้าห้างสรรพสินค้า เพื่อไปเดินเล่น แต่บังเอิญ มองไปเห็น กระเป๋า ถือ สีน้ำตาล ในสมองเธอก็จะคิดอย่างไร เออ เหมาะกับ รองเท้าที่เพิ่งซื้อไปเมื่อ 2 วันก่อน จากการตัดสิน เดินเข้าไปดูราคา ปรากฏว่า ราคาเท่ากับ 20000 บาท สมองของเธอ ก็จะคิดว่า กระเป๋าใบนี้ช่างเหมาะกับ รองเท้าสุดๆ ถ้าเพื่อนๆ เห็นเธอพร้อมกับกระเป๋าใบนี้เพื่อนๆ ของเธอจะต้อง อ้าปากค้างแน่นอน ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจซื้อ โดยคิด ว่า เดี๋ยวก็หาเงินมาใช้ได้เอง *** เมื่อ อารมณ์ มาเจอกับเหตุผล แล้วโดยส่วนใหญ่แล้ว อารมณ์ มักจะชนะ แม้นว่า การซื้อกระเป๋าใบดังกล่าว เธอจะต้องใช้เงินเดือนของเธอ ทั้งเดือน รวมถึงเดือนหน้า อีก 5000 บาท ด้วย ซึ่งจะทำให้เดือนนี้ตัวเธอเองจะมีรายได้ ติดลบ ก็ตาม เธอยังตัดสินใจซื้ออยู่ดี เป็นเพราะเหตุใด ?

    • เมื่อคนเราจะตัดสินใจอะไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อการตัดสินใจครั้ง นั้นต้องเลือกระหว่าง เหตุผล กับ อารมณ์ แล้วส่วนใหญ่ แล้วคนมักจะตัดสินใจด้วยอารมณ์ มากว่าเหตุผล นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การตัดสินใจ ผิดพลาด โดยที่ไม่รู้ตัวเพราะเมื่อเธอ รู้สึกว่า กระเป๋า คู่กับรองเท้าแล้วเข้ากัน และเห็นภาพว่า เพื่อนๆ ของเธอต้องทึ่ง สมองของเธอก็จะ ไปดึงข้อมูลจากสมองของเธอ ที่สนับสนุนให้เธอซื้อกระเป๋าออกมา ให้ดูสมเหตุสมผล เพื่อที่จะตัดสินใจซื้อกระเป๋า เป็นเพราะ จิตรใต้สำนึกของเธอ ทำงานโดยที่เธอนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า จิตรใต้สำนึกเธอ ก็จะสนับสนุนให้เธอใช้เงินออกไป แล้วเธอจะเป็นคนดี ซึ่ง ตัวเธอเองก็ไม่รู้สึกตัว เพราะเป็นความฝังใจในวัยเยาว์ ความคิดที่ที่เธอเคยได้ยิน หรือ มีประสบการณ์ในวัยเด็กนั้นส่งผลต่อ ชีวิต และวิธีคิดของเธอไปตลอด ทั้งๆที่ บางความคิด หรือ ความเชื่อนั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่ เพราะการรับข้อมูลมานั้น เธอยังเด็ก ซึ่งก็ยังไม่สามารถแยกได้ จึงไม่ใช่ความผิดอะไรของเธอ เลย
    • ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ความเชื่อมีผลต่อการตัดสินใจ ของนักลงทุน ถ้าคุณเชื่อว่า เงินนั้นสกปรก จิตรใต้สำนึกภายในของคุณ ก็จะหาทาง พลักดัน สิ่งที่คิดว่าสรกปก ออกไป ถ้าคุณคิดว่า คนรวย เป็นคนไม่ดี ละโมบ จิตรใต้สำนึกของคุณ ก็ จะทำในสิ่งตรงกันข้าม การตัดสินใจโดยไม่รู้ตัวของคุณ ไม่ให้คุณ เป็นคน ละโมบ และการตัดสินใจก็จะส่งผลให้คุณ ไม่รวยเพราะ จิตรใต้สำนึก บอกว่า เมื่อคุณรวยแล้วจะเป็นคนละโมบ ซึ่งจิตรใต้สำนึกของคุณไม่อยากจะเป็น ดังนั้นไม่ว่า คุณจะทำอะไร จิตรใต้สำนึกของคุณจะนำพาคุณไปตามนั้น
    • ผมอยากให้คุณสำรวจความคิดของคุณ ว่างเคยได้ยิน หรือมีประสบการณ์ คล้ายๆ กับตัวอย่างบ้างหรือไม่ ค้นหา และสำรวจดูว่ามีหรือ ไม่ ถ้ามี เราควรจะมาแก้ไข มิฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจ หรือ ลงทุน คุณก็มักจะพบ ว่า บทสรุปแล้ว คือ คุณสูญเสียเงินไปอยู่ดี แม้นว่า จะมีปัจจัยสนับสนุน ให้ประสบความสำเร็จ มากมาย สักเพียงใด
    • เมื่อคุณสำรวจตัวเองแล้ว พบว่ามี อะไรก็ตามที่ติดค้างอยู่ คุณจะแก้อย่างไร ลองพิจรณาถึงเหตุผลของความเชื่อนั้นๆ ว่า มันเป็นจริงหรือไม่ เช่น


    •  
             
            ตัวอย่าง
          • ” คนรวย คือคนละโมบ ไม่รู้จักพอ “ ในความเป็นจริง คนรวยหลายคน ก็เป็นคนมีจิตรใจดี มอบเงินให้กับ องค์กรการกุศล และ ทำบุญ ช่วยเหลือ คนจน และคนที่ฐานะลำบมากกว่า มาก มาย ทั้งยังทำอย่างต่อเนื่องด้วย ข้อความนี้ มันจึงไม่ใช่ ความจริงที่จะสรุปว่า คนรวยทุกคน ละโมบไม่รู้จักพอ ในความเห็นของผม เงินเป็นเพียงการเพิ่มอำนาจให้ผู้ที่เป็นเจ้าของมัน มันจะส่งเสริมให้คนๆ นั้น ทำสิ่งที่เขาต้องการทำ ให้มากขึ้น เช่น ถ้า คนนั้น เป็นคนใจบุญ เขา ก็สามารถ ทำบุญ ได้มากขึ้น หรือ คนนั้นที่เป็นคน คดโกง เขา ก็จะโกงมากขึ้น ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเงิน เงินจะทำให้คุณเป็นสิ่งที่คุณเป็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
          • “ เงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ ” ในความเป็นจริง คุณคิดว่า เงินสามารถ แลกเปลี่ยนเป็นความสุขได้หรือไม่ เช่น ไปทานอาหารที่ร้านอาหาร โดยสั่ง อาหารจากเมณู ตามที่คุณ ต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคา ก่อน แต่ถ้า ถ้าไม่ใช่คนมีเงินมาก สิ่งสำคัญต้องดู คือ จะสั่งอาหารอะไรก็ตาม เขา ต้องดูจากราคาอาหารประกอบ ก่อนการสั่ง ครั้งนั้นๆ ใช่หรือไม่
          • “ คุณไม่สามารถมีเงิน และ มี ความสุขได้ ” ในความเป็นจริง คุณสามารถมีทั้ง 2 อย่างได้พร้อมกัน เช่นเมื่อคุณ มีเงินมากขึ้น คุณสามารถ เอาเงินของคุณ ไปท่องเที่ยว ในที่ๆ คุณ ต้องการจะไป อยากพักเมื่อไรก็ได้ และ ทำในสิ่งที่คุณต้องการอย่างอิสระ อย่างนี้มันน่าที่จะมีความสุขมากกว่า ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามีเงินน้อย เราต้องทำงานเพราะ เรามีความจำเป็นที่ต้องทำ นั่นคือการมีเงินน้อย เราจึงจำเป็นต้องทำงานเพื่อ แลกกับเงิน แม้นว่าบางครั้งจะไม่อยาก ทำ เหตุที่ทำไปเพราะเรา ต้องการนำเงินมาใช้ เป็น ค่าใช้จ่ายที่ จำเป็นต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน เป็นต้น
          • “ เงินไม่สำคัญขนาดนั้นหลอก ” ผมขอเดาเอาว่าคนที่พูดประโยคนี้ คนๆ นั้นกำลังถังแตกอยู่ ผมอยากถามคุณ ว่า ถ้าคุณบอกว่า (คนรัก, สามี , ภรรยา ) ว่า เขาไม่สำคัญ คุณคิดว่า แล้ว เขาเหล่านั้นจะอยู่กับคุณ มัย เงินก็เช่นกัน มันจะอยู่กับเจ้าของที่เห็นคุณค่าของมัน ไม่รังเกียจมัน
          • ในช่วงต้นที่กล่าวมานั้น จะเน้นไปที่ความคิดเป็นส่วนใหญ่ ในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึง การลงมีทำ ดังคำกล่าวที่ว่า “ การเดินทาง หมี่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรกเสมอ ” ถ้าคิดแต่ไม่ลงมีทำ มิอาจสร้างความสำเร็จขึ้นมาได้

          อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....


          แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน

          Plan To Success. 1
          Plan To Success. 2
          Plan To Success. 3
          Secret Of The Millionaire Mind
          Investment Method
          Investment Strategy
          กูรูหุ้น 1000 ล้าน
          เซียนหุ้น100 ล้าน
          ข้อผิดพลาดในการลงทุน
          Why most people to invest Unsuccessful

          KEEP YOUR MONEY FORM TAX

          เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMF
          เก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
          เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
          เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
          เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
          ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax

          อื่นๆ

          การเลือกคบคน

          Read more »

          Tuesday, April 3, 2012

          Why most people to invest. Unsuccessful,ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเล่นหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ

            

          Why most people to invest.
          Unsuccessful

          ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเล่นหุ้น

          ไม่ประสบความสำเร็จ

          หัวข้อในบล็อกวันนี้เบาๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการหลักการคิดอะไร แต่อยากจะมาแชร์ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เจอกับคนในตลาดหุ้น ว่าในมุมมองของผมทำไมคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ

          ผมว่าเรื่องแรกเลยคือ หลายคนยังบอกว่าการเล่นหุ้นเป็นแค่งานอดิเรกขำๆก็คือว่า ไม่ต้องศึกษามากหรอกเล่นไป chill chill เดี่ยวก็รวยแล้ว ผมกล้าพูดว่า 100 ละ 100 ของคนที่คิดแบบนี้ระยะยาวไม่มีวันประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นหรอก จริงๆแล้วคุณทำงานประจำคุณไม่ชอบที่มีคนมากดขี่ กดหัว มีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยขี้อิจฉา คุณก็เริ่มอยากจะเป็นนายของตัวเอง แต่คุณก็อยากมีอิสระทางเวลาด้วยดังนั้นตลาดหุ้นคือ คำตอบ หลายคนก็เลยอยากเล่นหุ้นได้กำไรเยอะๆจะได้ไม่ต้องทำงานที่ตัวเองไม่ชอบอีกต่อไป แต่เวลาที่คุณทุ่มเทให้กับตลาดหุ้นได้นั้นทำได้วันละไม่ถึงชั่วโมง (ไม่นับเวลานั่งดูราคาหุ้น) ตลกมาก คุณทำงานประจำคุณต้องทำวันละ 8 ชั่วโมง แต่พอต้องอ่านเรื่องหุ้นแป๊ปเดียวคุณก็รู้สึกว่าเครียด รู้สึกเหนื่อย แล้วแบบนี้คุณจะหวังว่าจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้อย่างไร อย่างผมเป็น full time investor คนนึกว่าผมสบาย คำตอบของผมคือ สบายกับผีนะสิ ผมอ่านเอกสารวันนึงกองยังกับภูเขา แถมผมมีสอนมือใหม่ มีเขียนหนังสือ อาทิตย์นึงมีเวลาเข้า fitness ไม่เกิน 3 วันด้วยซ้ำ ผมมีทัศนคติว่าถ้าเราอยากได้สิ่งที่สุดยอดเราก็ต้องทุ่มเทถวายหัวให้กับมัน ดังนั้นทั้งชีวิตของผมมอบให้กับการลงทุน ผมไม่เคยมีความคิดจะซื้อที่ดิน ซื้อทอง ซื้อพันธบัตรอะไรแม้แต่อย่างเดียว บางคนอ่านหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจสัมภาษผม นึกว่าผมนั่งๆนอนๆแล้วมีเงินเป็นสิบล้านหล่นลงมา โลกความเป็นจริงไม่มีหรอกครับ

          การเล่นหุ้นให้ได้กำไรชนะตลาดในระยะยาวต้องอาศัยความพยายามสูงมาก ซึ่งความพยายามนั้นก็ต้องมาจากทัศนคติที่ถูกต้องและพร้อมจะทุ่มเทก่อนแต่หลายคนไม่มีความคิดแบบนั้นรู้สึกว่าอยากได้เงินง่ายๆ แค่นี้ก็จบแล้ว คุณไม่มีทางอยู่รอดในตลาดหุ้นระยะยาวได้ คุณเป็นแค่หมูอ้วนๆตัวนึงในตลาดหุ้นที่เสือ สิง กระทิง แรด อยากจะรุมสกัมให้เหลือแต่กระดูก เหตุผลเพราะ คุณไม่มีความรู้ในหัวเลยใช้แต่อารมณ์ลงทุนก็เลยเป็นเหยื่อของรายใหญ่หรือคนที่รู้มากกว่าบางคนเพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาถามผมว่ามี course อะไรแนะนำไหม ผมแนะนำไปดันมาตอบผมว่า โห ตั้ง 2000 บาทแพงจังเลยมี course ฟรีไหม อ้าว ไอ้เวรเอ๋ย ถ้าเป็นเพื่อนผมนี้ผมตบกระโหลกไปแล้ว มึงเรียนมหาลัยมา 4 ปีเสียเงินตั้งหลายแสนเพื่อไปทำงานบริษัททำไมมึงเสียได้ว่ะ แล้วพอไปทำงานมึงก็บอกว่าอยากมีอิสระภาพทางการเงิน อยากมี financial freedom แต่พอจะหันมามีอิสรภาพทางการเงิน ค่าเรียนรู้เบื่้องต้น 2000 เจือกไม่ยอมเสีย แบบนี้เมิงก็ทำงานงกๆๆๆ ต่อไปเถอะ คนแบบนี้เหมือนอยากมีเมียเป็นนางงาม เป็นนางแบบ แต่ตัวเองไม่ดูแลหุ้นปล่อยให้อ้วนฉุ มีกลิ่นปาก แต่งตัวไม่เป็น แถมจน แต่อยากได้เมียเป็นนางงาม ก็เหมือนกันอยากรวยเร็วๆ อยากมีความรู้ทางการลงทุน แต่ไม่อยากเสียเงินไปเรียน คนพวกนี้บางคนผมเคยแนะนำหนังสือการลงทุน ตปท ไปให้ก็บอกว่า “โห แพงจังเล่มละตั้ง 800 บาท” ผมเลยไม่ตอบอะไรเขาอีก เพราะผมถือว่าเราคุยกันคนละภาษา ผมคุยภาษา อิตาลี เขาคุยภาษาเขมร และเราไม่มีทางคุยกันเข้าใจได้ ของฟรีไม่มีในโลกถ้าคุณอยากเก่งเรื่องหุ้น ผมคิดว่าคุณต้องกันค่าใช้จ่ายเรื่องไปเรียนกับเรื่องหนังสือเอาไว้หลายๆหมื่นเลย ผมเห็นหลาย course ของที่อื่นเก็บกันวันละ 4500-5000 คนไปเรียนหลายคนก็บอกว่าคุ้ม ได้แนวคิดดีๆ กลับมาน่าจะช่วยทำให้อีกหน่อยทำเงินในตลาดหุ้นได้หลายแสนหลายล้านคุ้มกว่าค่าเรียนเยอะ ผมว่าทัศนคติแบบนี้เป็นเรื่องถูกต้อง เหตุผลเพราะว่า การเล่นหุ้นแล้วได้กำไรแล้วทบต้นไปเรื่อยๆในปีหลังๆจำนวนเงินจะมหาศาลมากแล้วจะทำให้ค่าความรู้เช่นพวกค่าหนังสือ ค่าเรียนพวกนั้นถูกยังกับซื้อโอเล่มากินเลยทีเดียว อย่างตัวผมเองก็หมดค่าสัมนาไปเป็นแสน ค่าหนังสือตปททุกเล่มรวมกันก็เยอะมาก แต่พอผมกำไรหุ้นเยอะๆทีเดียว ค่าหนังสือกับค่าอบรมก็ถูกแสนถูก คุณต้องคิดว่าการลงทุนความรู้ในตัวคุณเองเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด และจงอย่าได้ตระหนี่กับค่าใช้จ่ายที่เอาไว้พัฒนาตัวเองเพราะ คนประสบความสำเร็จทุกคนต้องพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง ผมเคยได้ยินรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีเงินหลายพันนล้านเล่าว่า สมัยก่อนแทบไม่มีกราฟให้ใช้ จะดูได้นี้ต้องจ่ายแพงมาก และค่าเรียนเรื่องกราฟสมัยก่อนก็ 50000 บาทขึ้นไป รายใหญ่คนนี้ยังไปเรียนเลย ไปเรียนในสมัยที่เงิน 50000 บาทถือว่าแพงมากๆ(เพราะนานมากแล้ว) ทุกวันนี้คนๆนี้ก็เป็นเสี่ยพันล้าน เสี่ยคนนี้เขาไม่ได้เล่นหุ้นด้วยความรู้สึกเล่นไปขำๆไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากแล้วก็หวังรวย เขาทุ่มเทจิตวิญญาณให้กับตลาดหุ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตำนวนของเมืองไทยที่คนในตลาดหุ้นอยากไปให้ถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ และเหตุผลอย่างอื่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นน่าจะเป็นเพราะว่าเขามีความอดทนไม่มากพอ อย่างว่ากว่าคุณจะออกมาทำงานได้คุณต้องเรียนตั้งกี่ปี แต่ในตลาดหุ้นไม่ใช่ว่าคุณขยันแค่ 3 เดือนแล้วคุณจะมีความรู้เพียงพอ คุณต้องขยันตลอดเวลาและรอคอยได้นานหลายปีกว่าจะถึงจุดที่ความรู้ของคุณตกผลึก หลายคนเข้ามาในตลาดหุ้นทำไปได้แป๊ปเดียว ก็รู้สึกว่ามันต้องพยายามมากขนาดนี้ทำไมเล่นไม่ได้ตังค์ซะทีว่ะ ไอ้พวกคนได้ตังค์มันต้องดวงดีแหงๆ โอ๊ยมันเป็นเรื่องของดวงนี้หว้า ไม่ต่างจากแทงหวยเลิกพยายามดีกว่า ปญอ. จัง อะไรประมาณนี้คือความคิดของหลายคนที่เข้ามาในตลาดแล้วพยายามได้ 2-3 เดือนแล้วยังไม่กำไร ซึ่งการจะประสบความสำเร็จจากอะไรซักอย่างมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมันต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น นอกจากคุณจะทุ่มเทได้มากพอแล้วคุณยังต้องอึดมากพอที่จะรอให้วันของคุณมาถึงอีกด้วย ถ้าคุณให้เวลากับมันได้ ไม่ทำตัวแบบคนต้องการนางงามแต่ไม่พัฒนาตัวเอง(อยากเก่งแต่ไม่อยากจ่ายค่าเรียนรู้) และอดทน ผมคิดว่าในระยะยาวคุณจะกลายเป็นเสี่ยครับ

          ผมอ่านบทความนี้แล้วเห็นด้วยครับ ถ้าคุณทุ่มเวลาเรียนรู้แค่เล็กน้อย คุณจะแทบไม่ได้อะไรจากตลาดหุ้นเลย แต่ถ้าคุณต้องการ ผลตอบแทน มาก คุณควรทุ่มเท ที่จะเรียนรู้และ หาข้อมูล ให้ครบทุกแง่ทุกมุม มากยิ่งขึ้นเพื่อนำทางไปสู่ ผลตอบแทนที่มากขึ้น และต่อไปยังที่คุณได้พบกับ ภาวะที่คุณ สามารถใช้เงินทำงานแทน ตัวคุณเอง ในที่สุด
          by hongvalue wordpress

          อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....>


          แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน

          Plan To Success. 1
          Plan To Success. 2
          Plan To Success. 3
          Secret Of The Millionaire Mind
          Investment Method
          Investment Strategy
          กูรูหุ้น 1000 ล้าน
          เซียนหุ้น100 ล้าน
          ข้อผิดพลาดในการลงทุน
          Why most people to invest Unsuccessful

          KEEP YOUR MONEY FORM TAX

          เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMF
          เก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
          เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
          เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
          เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
          ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax

          อื่นๆ

          Read more »