แผนผังการเงินสู่ความสำเร็จในการลงทุน ต่อ
คุณคิดว่า ถ้ามีคนมาถามคุณว่า คุณอยาก รวย และมีความสุขมัย ? คุณจะตอบว่าอย่างไร ผมว่าคนอีก หลายพันล้านคนทั่วโลก ถ้าได้ตอบคำถามคง ตอบออกมาว่าใช่อย่างแน่นอน แต่มีกี่คนที่สามารถ มีความสุขและ มีเงินมากมายและประสบควารสำเร็จในการลงทุนได้ ซึ่งน้อยมาก ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง คือ ความคิด และ ความรู้สึก (ความต้องการ) มันยังไม่ใช่องค์ประกอบ ที่สมบูรณ์ ของความสำเร็จ นั่นเอง ช่วงก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับ ความเชื่อที่ผิด ที่ได้รับจากประสบการณ์ หรือ คำพูด ความเชื่อ ที่ได้รับได้ยินมาในวัยเยาว์ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวของเรา และ นำทางชีวิตของเรา ให้มีสภาพ การเงิน ความคิด และการกระทำ จวบจนปัจจุบัน แต่ถ้าคุณคิดว่า คุณต้องการปรับเปลี่ยน อนาคต ของคุณ แล้วละก็ คุณต้องล้างโปรแกรม เก่าที่ ไม่สนับสนุน กับสิ่งที่คุณต้องการจะเปลี่ยน แล้วลงโปรแกรมใหม่ซึ่งสนับสนุน ในสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต ในความคิดของผมเอง สมองของคนเราก็เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งรับการติดตั้งโปรแกรมมา พร้อมกับแฟ้มข้อมูลจำนวนมาก และ เมื่อเจอสถาณการ์ต่างๆ การตัดสินใจ ก็คือการเลือกใช้แฟ้มข้อมูลในสมอง ที่เกี่ยวข้องออกมาใช้ จุดสำคัญก็คือ ระหว่างการตัดสินใจ จะมีการเลือกแฟ้มข้อมูลออกมาใช้ จะถูกเลือก ระหว่าง อารมณ์ หรือ เหตุผล ซึ่งโดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่ การใช้อารมณ์ มักจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้เหตุผล มีโอกาสชนะอารมณ์ มากยิ่งขึ้น ก็คือการ การปลูกฝังความเชื่อที่ ถูกและเหมาะสมกับสิ่งที่คุณต้องการในอนาคตด้วย เมล็ดพันธ์ความเชื่อที่ดี และพยายามหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่ดี และเมล็ดพันธ์ความเชื่อที่ผิดออกไป
คนที่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต และ ในการลงทุน มีความเชื่อว่า เขาสามารถ กุมชะตาชีวิตและสร้างหนทางสู่ความสำเร็จด้วยตนเอง รับผิดชอบต่อสิ่งที่ ตนเองกระทำ มิใช่สวมบทผู้ถูกกระทำ (นักกล่าวโทษ,นักแก้ต้ว,นักบ่น)
ตัวอย่าง นักกล่าวโทษ
เมื่อมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่ร่ำรวย หรือไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาจะเริ่มโทษ ทุกๆ สิ่งที่มไม่ใช่ตัวเขา เช่น เศรษฐกิจ , รัฐบาล , บริษัท , หัวหน้างาน , โทษลูกน้อง ,โทษ ครอบครัว , โทษหุ้นส่วน , โทษคู่สมรส , โทษ พ่อแม่ หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวของเขาเอง
ตัวอย่าง นักแก้ตัว
เมื่อมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่ร่ำรวย หรือไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาจะแก้ตัวว่า “เงินไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก ”, “ความรักสำคัญกว่าเงิน”, ”คุณไม่สามารถมีความสุข และมีเงินด้วย”, “ผมเลือกควารสุขมากกว่าเงิน”, “เศรษฐกิจไม่ดี” , “รํฐบาลดำเนินนโยบาย แย่” ,”บริษัทฯ ไม่มีธรรมาภิบาล” , “ คนรวยซื้อหุ้นดีๆ ไปหมด เหลือแต่ หุ้นไม่ดีในตลาด ”, ”ประเทศนี้ไม่มีอะไรที่ลงทุนแล้วได้กำไร”,”ฉันไม่มีวันรู้เลยว่าเขาชอบที่ตัวฉัน หรือเงิน” ,”คงเป็นงานที่หนักเกินไป”, “แล้วถ้าเราได้กำไรมาแล้วต้องเสียมันไปละ” , “ฉันคงต้องเสียภาษีหัวบานเลย” ,”ทุกคนคงอยากจะขอเงินฉัน”ฯลฯ
ตัวอย่าง นักบ่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองหลายท่านบอกไว้ว่า กฏแห่งแรงดึงดูด “คู่เหมือนดึงดูดคู่เหมือน” หมายความว่า คุณชอบบ่นเรื่องอะไร เท่ากับคุณ กำลังดึงดูด สิ่งที่คุณบ่น “สิ่งที่คุณไม่ชอบและไม่ต้องการ” เข้ามาในชีวิต
คุณเคยเห็นคนชอบบ่น มีชีวิตที่ยากลำบาก ทุกอย่างสามารถผิดพลาดได้ทุกอย่างมักจะดูผิดไปเสียทุกอย่างจริง สำหรับคนพวกนี้ คนกลุ่มนี้มักชอบ บ่น กล่าวโทษ ทุกสิ่ง และแก้ตัว เพราะการบ่นเป็นเหมือน การระบาย หรือ หาทางออก บรรเทาความเครียด จากความล้มเหลว
ถ้าคุณพบว่าคุณเองเริ่ม กล่าวโทษ หาข้อแก้ตัว หรือ พร่ำบ่น ให้รีบเตือนตัวเองว่า คุณกำลังลิขิตชีวิตของตัวคุณเองอยู่ คุณสามารถที่จะดึงดูด ความสำเร็จ โดยต้องเลือกสรร การใช้ความคิดและ ถ้อยคำ อย่างชาญฉลาด และไม่ไปสวบบทผู้ถูกกระทำ เพราะ “โลกนี้ไม่มีผู้ถูกกระทำที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จได้”
เมื่อพูดถึง การสวมบท ผู้ถูกกระทำ ก็มีข้อดีคือ ผู้ที่สวมบทดังกล่าวมักจะได้รับความสนใจ ซึ่งหลายคนก็สับสัน ระหว่าง ความสนใจ กับความรัก สิ่งหนึ่งก็คือ เมื่อคุณต้องการเป็นที่สนใจโดย สวบบทของผู้ถูกกระทำ คุณก็จะโหยหามันอยู่ตลอดเวลา โดยมากคนกลุ่มนี้ลงเอยโดยการเป็น ผู้เอาใจคนอื่น ก้มหน้าก้มตาเรียกหาการยอมรับจากใครๆ ซึ่ง เข้าใจผิดว่าสิ่งที่ได้รับนั้น คือความรัก คนกลุ่มนี้ไม่ประสบความสำเร็จ และร่ำรวยจากการลงทุน เพราะต้องการเป็นที่สนใจ จึงพยายาม คงสถานะ ความจนเอาไว้สุดความสามารถ โดยไม่รู้ตัว เพราะจิตรใต้สำนึก ดำเนินการเหมือนถูกโปรแกรมไว้นั่นเอง
ถึงเวลาแล้ว ที่คุณเลือกเอาว่า คุณ จะเป็นจอมเรียกร้อง ความสนใจ หรือ จะเป็นคนที่ ประสบความสำเร็จ ที่ร่ำรวยจากการลงทุนและเชื่อว่า “คุณเป็นผู้ลิขิตระดับความสำเร็จ และการลงทุน ของตัวเอง”
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน และ การลงทุน มักจะมีแบบแผนการเงินแบบตั้งรับมากว่าเชิงรุก ส่วนคนที่ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน และ การลงทุน และโดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นแผนแบบเชิงรับ ซึ่งจุดประสงค์การลงทุนเพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ ร่ำรวย แล้วเป้าหมายของคุณคือ อะไร? คนรวยทุ่มเทเพื่อความร่ำรวย แต่คนที่ไม่รวย ก็แค่อยากรวย
ความอยากนั้นมี 3 ระดับ ระดับที่ 1 อยากรวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน ถ้าสิ่งนั้นตกลงมาถึงมือ แล้วละก็ ฉันจะกำมันไว้ให้แน่น ,ความอยากระดับ 2 คือการตัดสินใจที่รวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน , ความอยาก ระดับที่ 3 คือการตัดสินใจมุ่งมั่น ทุ่มเทอย่างไม่ยั้ง ซึ่งหมายถึงการลงแรงอย่างเต็มที่ และเอาจริงเอาจัง เพื่อที่จะรวยและประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่คนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้อยู่ในระดับนี้ มักจะอยู่ในระดับที่ 1,2 เท่านั้น ผมคงต้องบอกว่า ในระดับที่ 3 นั้น คุณต้องทำในสิ่งที่ไม่ง่ายและคุณต้องเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าคุณทำได้และมุ่งมันกับการสร้างฐานะให้ประสบคววามสำเร็จในการลงทุนให้ร่ำรวย คุณก็จะมีโอกาสร่ำรวยในที่สุด (คุณเต็มใจที่จะทำงาน วันละ 17 ชั่วโมง ทุกวันหรือไม่ ? , คุณเต็มใจที่จะศึกษาหาข้อมูลบริษัทที่คุณต้องการจะลงทุน ทุกแง่มุมไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางพื่นฐาน รวมทั้งปัจจัยทางเทตนิค หรือไม่ ? ,คุณยินดีที่จะอ่านบทวิเคระห์ของบริษัทที่คุณสนใจจะลงทุน จากหลายๆ โบรกเกอร์ที่ทำออกมาหรือไม่ , คุณยินดีที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาการลงทุนของคุณให้ดีขึ้นหรือไม่, คุณยินดีที่จะเข้าสัมนาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับการลงทุนหรือไม่, คุณยินดีที่จะดูงบการเงิน และวิเคราะห์งบการเงินบริษัทที่คุณสนใจหรือไม่, คุณพร้อมที่จะเรียนรู้จากการผิดพลาดและ ยอมรับมัน จากการลงทุนที่ผิดพลาดของคุณหรือไม่) ถ้าคุณตอบคำถามที่กล่าวมาข้างต้นได้ คุณก็สามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่า ความสำเร็จของคุณ จะอยู่ในระดับไหน แบบ คร่าวๆ แล้ว ซึ่งเมื่อคุณต้องการเปลี่ยนระดับที่ คุณก็ต้องจะไป คุณต้องปรับสิ่งที่คุณต้องทุมเทลงไปในจุดที่คุณ คิดว่าจะสามารถเพิ่มให้คุณก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า และประสบกับความสำเร็จสูงขึ้น และ ร่ำรวยขึ้น และมีอะสิรภาพทางการเงิน และเวลา มากขึ้น (อะไรที่มากกว่าการซื้อ ถือไว้ และ ภาวนา)
“ไม่มีใครบังคับให้คุณลงทุนซื้อ หรือ บังคับให้คุณขาย
คุณนั่นแหละคือผู้ตัดสินใจ ”
สำหรับผู้ที่ได้อ่านบทความก่อนหน้านี้ แล้วมีความคิดที่จะมุ่งสู่ความร่ำรวย กว่า ใน สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนและการเลือก เส้นทางที่จะทำให้คุณ ร่ำรวยขึ้น และเป็นเส้นทางเพื่อนำคุณไปพบกับอิสระภาพทางการเงิน และ เวลาได้ในที่สุด
ก่อนที่จะไปต่อ ผมอยากจะเสนอแนวความคิดหนึ่ง ซึ่งตัวผมเองเคยอ่านและคิดว่ามันมีประโยชน์มาก รวมทั้งจะทำให้คุณเลือกเส้นทาง ที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้นในการพาคุณ พบกับอิสระภาพทางการเงิน ได้ รวดเร็วขึ้น หนังสือที่ว่าคือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ Robert Kiyosaki เขาได้แบ่งงานที่มีอยู่หลายสิบล้านอาชีพ ออกเป็น สี่กลุ่ม E S B I โดยใช้แหล่งที่มาของรายได้เป็นตัวแบ่งประเภท ของอาชีพทั้งหมด
ความหมาย
E
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ รับจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ ครู คนขับรถแท็กซึ่ ฯลฯ จุดสังเกดของคนอาชีพกลุ่มนี้คือ รายได้ที่ได้รับ มาจากการทำงานเท่านั้น และเมื่อใดที่ลาออก หรือ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วย
S
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ ธุรกิจ ส่วนตัว เช่น เจ้าของร้านชำ , เจ้าของคลีนิกฟัน , ทนายความ ,ตัวแทนขายประกัน , เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า ฯ ( จุดสังเกตอาชีพนี้คือ เขาจะได้รับรายได้จากการทำงานตามผลงาน ที่ทำได้ แต่รายได้ยังคงมาจาก ตัวของผู้ประกอบการ ต้องลงมือทำ จึงจะก่อให้เกิดรายได้ และ เมื่อ หยุดทำ รายได้ก็จะหยุดลงด้วย)
B
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ เจ้าของธุรกิจ เช่น เจ้าของ โรงพยาบาล , เจ้าของโรงเรียน, เจ้าของเบียร์ช้าง , เจ้าของอาพาร์เม้นให้เช่า ,เจ้าของดาวเทียม , เจ้าของช่อง 3 , เจ้าของธุรกิจเช่ารถแท็กซี่ ,เจ้าของลิขสิทธิ หนังสือแฮลี่พอสเตอร์ , ธุรกิจเครือข่าย ฯ (จุดสังเกตของคนอาชีพนี้ คือ เมื่อเขาหยุดทำงาน แต่ รายได้ของพวกเขาไม่หยุดตาม รายได้ยังคงเดินต่อ ไม่ว่าเขาจะทำงานหรือไม่ก็ตาม)
I
หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพ นักลงทุน เช่น ผู้ลงทุนในหุ้น , ลงทุนในพันธ์บัตร , ลงทุน ทอง เงิน น้ำมัน อื่น, ฯลฯ (อาชีพนี้มีจุดสังเกตคือ ตัวผู้ลงทุน อาจจะไม่จำเป็นที่จะเจ้าของ ทั้งหมดในบริษัทที่ลงทุน แต่เป็นเจ้าของบางส่วน “เป็นหุ้นส่วน” ก็ได้ หรือเป็นเจ้าของทั้งหมดก็ได้ และสิ่งทีนักลงทุนจะได้รับคือ ผลตอบแทนจากการลงทุน, ดอกเบี้ย ,เงินปันผล , สิทธิประโยชน์อื่นๆ เป็นผลตอบแทน ซึ่ง อาชีพนี้ รายได้ของนักลงทุน มาจากการลงทุน เขาจึงสามารถ มีรายได้ที่เป็นอิสระ โดยที่ตัวนักลงทุนเอง จะทำงาน หรือไม่ต้อง ทำงาน รายได้ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ที่ผมเสนอ E S B I มาเพราะคิดว่าผู้อ่านจะเข้าใจ ว่าการที่จะไปสู่อิสระภาพทางการเงินนั้น บางอาชีพ นั้น ไม่สามารถจะไปได้ด้วยอาชีพ เพียงอาชีพเดียว เพราะ แหล่งที่มาของรายได้ นั่นเอง แต่ไม่ว่าอาชีพใดก็สามารถเป็นอิสระภาพทางการงินได้ เพียงคุณ ต้องรู้ว่า ตัวคุณเองอยู่ในส่วนใดขอ E S B I ถ้าคุณ อยู่ใน ฝั่งด้านซ้ายจากรูป คือ E กับ S ซึ่งที่มาของรายได้ คือ คุณต้องทำงาน เท่านั้น คุณก็พยายามก้าวไปสู่ฝั่ง ขาว จากรูป เพราะแหล่งที่มาของรายได้ มาจาก การลงทุน , การเป็นเจ้าของธุรกิจ ,เจ้าของลิกขสิทธิ ซึ่งคุณจะทำงาน หรือ ไม่ทำงาน รายได้ก็ยังคงมีมาหาคุณ ตลอด แล้วทำอย่างไร จึงจะมีรายได้ที่ไม่ต้องทำงานละ?
สิ่งที่ควรจะมีเพื่อนำทางสู่อิสระภาพทางการเงิน
1 ต้องมีเงินออม
2 ความรู้ และ ประสบการณ์ ความชำนาญ
3 ลงทุน/ทำธุรกิจ ในสิ่งที่ได้ศึกษาและเก็บข้อมูลมาแล้ว หรือ จากประสบการณ์ หรือ ความเชี่ยวชาญ
4 ประเมินผล จากการลงทุน หรือ ทำธุรกิจ
ข้อความจาก GUIDE TO INVESTING พ่อรวยสอนลูกลงทุน
อะไรที่ทำให้นักลงทนในกลุ่ม 10% ที่ประสบความสำเร็จ แตกต่างจากนังลงทุนทั่วไป
สิ่ที่แตกต่างกันคือ ความคิดระหว่างนักลงทุนทั่วไป กับ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มีอยู่ 10% ในตลาด ซึ่งคนกลุ่มนี้ทำเงินได้ 90 % ของตลาด คือ
1 นักลงทุนส่วนใหญ่พูดว่า “อย่างเสี่ยง” แต่นักลงทุนที่รวยกล้าเสี่ยง ( ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การขาดควาวมรู้ ประสบการณ์ และ เงินเหลือ )
2 นักลงทุนส่วนใหญ่พูดว่า “ต้องกระจายความเสี่ยง” แต่นักลงทุนที่รวยลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง
3 นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามมีหนี้น้อยที่สุด แต่นักลงทุนที่รวย ชอบเพิ่มหนี้ (หนี่ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น)
4 นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามลดค่าใช้จ่าย แต่นักลงทุนที่รวย รู้ว่าควรเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างไรจึงจะทำให้รวยขึ้น (ค่าใช้จ่ายที่สามารถ เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น)
5 นักลงทุนทั่วไป ทำงาน แต่นักลงทุนที่รวย สร้างงาน
6 นักลงทุนทั่วไปทำงานหนัก แต่นักลงทุนที่รวย ทำงานน้อยลง และทำเงินได้มากขึ้น (การใช้เงินทำงานแทน)
อ่านต่อ กด ลิงค์ด้านล่างครับ....>
แนวคิด สู่อิสระภาพทางการเงิน
Plan To Success. 1
Plan To Success. 2
Plan To Success. 3
Secret Of The Millionaire Mind
Investment Method
Investment Strategy
กูรูหุ้น 1000 ล้าน
เซียนหุ้น100 ล้าน
ข้อผิดพลาดในการลงทุน
Why most people to invest Unsuccessful
KEEP YOUR MONEY FORM TAX
เก็บเงินคืนจากภาษี LTF และ RMF
เก็บเงินคืนจากประกัน Insurance
เก็บเงินคืน ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน Interest Lone
เก็บเงินคืน เงินปันผล Stock Dividend
เก็บเงินคืน จากการทำบุญ Merit
ทางเลือกการชำระภาษี Alternative tax
อื่นๆ
การเลือกคบคน
Read more »