Showing posts with label Surachai. Show all posts
Showing posts with label Surachai. Show all posts

Wednesday, May 2, 2012

Stock Focus,SPALI

บมจ. ศุภาลัย (SPALI)

กำไรไตรมาสแรกจะต่ำ แต่แนวโน้มจะโตโดดเด่น

คาดกำไรไตรมาสแรกจะต่ำเพียง 270 ล้านบาท (-23%qoq, -63%yoy) เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่จะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง ยอด Presale 4 เดือนแรก สูงถึง 6,491 ล้านบาท เนื่องจากโครงการในโซนน้ำท่วมกลับมาเร็วกว่าคาด ทำให้ปรับเป้าปีนี้ขึ้นเป็น 19,000 ล้าน และเมื่อรวมบริษัทย่อยจะสูงถึง 21,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัว 16 โครงการ มูลค่า 17,900 ล้านบาท ก้าวสู่ Nationwide Developer สัดส่วนตลาดต่างจังหวัดปีนี้ 20% เป้า 2-3 ปี 25% Backlog สูง 24,496 ล้านบาท ประเมินยอดรับรู้รายได้ จะเติบโต 7% สู่ระดับ 13,540 ล้านบาท และ คาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,165 ล้านบาท เติบโต 23% ประเมินราคาเป้าหมาย 18.50 บาท ยังพอมีอัพไซด์แนะนำ ซื้ออ่านเพิ่ม….>

แนวรับ   16.2-16.4       แนวต้าน   17.2-17.5

Read more »

Monday, April 30, 2012

Stock Focus,SPALI


SPALI : Key Takeaway

จากการประชุมนักวิเคราะห์

- ยอด Presale ในไตรมาส 1/55 โดดเด่นและสูงถึง 5,607 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนี่ยม 4,239 ล้านบาท และ แนวราบ 1,368 ล้านบาท ยอด Presale ดังกล่าวคิดเป็น 31% ของเป้าปีนี้ 18,000 ล้านบาท สำหรับบริษัทย่อย มียอด Presale สูงถึง 1,492 ล้านบาท เทียบกับเป้า 2,000 ล้านบาท

- ดังนั้น ผู้บริหารจึงปรับเป้ายอด Presale ปีนี้ขึ้นเป็น 19,000 ล้านบาท จากเดิม 18,000 ล้านบาท เมื่อรวมบริษัทย่อย จะมียอด Presale รวมเท่ากับ 21,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.6%

- ในแง่การรับรู้รายได้ (งบการเงินรวม) ในไตรมาสแรกมีการรับรู้รายได้ เพียง 1,506 ล้านบาท เทียบกับเป้าปีนี้ จะมีการรับรู้รายได้รวม 13,500 ล้านบาท (แบ่งเป็น เฉพาะบริษัท 12,500 ล้านบาท และ บริษัทย่อย 1,000 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่จะรับรู้ในครึ่งปีหลัง ทำให้กำไรไตรมาสแรกจะต่ำเพียง 260 ล้านบาท ลดลง 26% จากไตรมาสก่อน และ 65% จากปีก่อน

- โครงการที่อยู่บริเวณน้ำท่วมเริ่มกลับมาประมาณ 70% ของยอดขายปกติ รวมถึง โครงการที่เปิดใหม่อยู่ในโซนน้ำท่วมก็ขายได้มากกว่าคาด



- ปีนี้จะมีสัดส่วนยอดขายในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น 20% เทียบกับปีก่อน มีสัดส่วน 14% ส่วนด้านรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 16% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 13%

- ตัวเลข Backlog ในมือ 24,496 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ 8,862 ล้านบาท คิดเป็น 71% เมื่อเทียบกับเป้า รายได้ที่จะรับรู้ในปีนี้12,500 ล้านบาท

- ปี 2555 SPALI จะเปิดตัวทั้งหมด 16 โครงการ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 8,420 ล้านบาท และ แนวสูง 5 โครงการ มูลค่า 9,480 ล้านบาท

- แนวโน้มในปีนี้เราประเมินยอดรับรู้รายได้เท่ากับ 13,540 เพิ่มขึ้น 7% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,075 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.79 บาท) เพิ่มขึ้น 20%

- ภายใต้ P/E เท่ากับ 10 เท่า จะได้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 18 บาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ
Surachai Pramualcharoenkit

Read more »

Monday, April 23, 2012

Stock Focus,DRT,24.Apr.2012.,


บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT)

คาดผลประกอบการไตรมาส1/55ทำสถิติสูงสุดใหม่

คาดผลประกอบการไตรมาส1/55ทำสถิติสูงสุดใหม่ 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.18 บาท) (+120%qoq, +43%yoy) แรงหนุนความต้องการในตลาดต่างจังหวัดและ มีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท แนวโน้มปี 2555 จะได้แรงหนุนจากการบูรณะซ่อมแซม กำลังการผลิตใหม่ NT-10 ที่เน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้เข้ากลางปี คาดกำไรปี 2555 จะเติบโต 32% ขยายการลงทุน เพื่อกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากขึ้น จะเสริมการเติบโตในอนาคต หุ้น DRT เป็นหุ้นประเภทปันผล จ่ายปันผลปีละสองครั้ง คาดปันผลปี 2555 ประมาณ 0.46 บาท หรือ คิดเป็นเงินปันผลตอบแทน 7.6%แนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล ราคาเป้าหมาย 7.1 บาท
  • คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ 187 ล้านบาท :
    บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เราประเมินผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะมีกำไรปกติที่โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดได้ใหม่ ถึง 142 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.14 บาท) เพิ่มขึ้น 66% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้จะมีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท เมื่อรวมรายการพิเศษนี้จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.18 บาท) พุ่งขึ้น 120% จากไตรมาสก่อน และ 45% จากปีก่อน ผลประกอบการที่โดดเด่นดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากความต้องการ หลังคากระเบื้อง ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ต่างๆ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัด และ ได้แรงหนุนจากการส่งออกไปประเทศแถบเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และ พม่า ทำให้ยอดขายปรับตัวสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่เป็น 1,035 ล้านบาท (+20%qoq, +9%yoy) การผลิตในระดับ 90% ของกำลังการผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นปรับขึ้นมาเป็น 31.25% ใกล้เคียงปีก่อน 32% แม้ว่าต้นทุนในด้านต่างๆจะปรับตัวสูงขึ้น และ ปรับขึ้นจากไตรมาสสี่มากซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 29.3%
  • ฐานะลูกค้ากระจายตัวสู่ Modern Trade และ ส่งออกมาขึ้น : ลูกค้า Modern Trade เช่น ไทวัสดุ และ GLOBAL มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และ เติบโตสูง ซึ่งผลิตภัณฑ์ตราเพชร ได้เข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Modern Trade มากขึ้น ซึ่ง Modern Trade นี้จะไม่ขายผลิตภัณฑ์ตราช้าง คาดจะช่วยเสริมการเติบโตของ DRT โดยสัดส่วนของ Modern Trade ปีนี้คาดจะปรับขึ้นมาเป็น 7-8% จากปีก่อนเพียง 2-3% ส่วนตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ เขมร ลาว และ พม่า ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 12% และ จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในอนาคต จากปีก่อนมีสัดส่วนส่งออกประมาณ 9.9% สำหรับลูกค้าหลักของบริษัทยังคงเป็น เอเย่นต์ จะมีสัดส่วนประมาณ 74% ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วนสูงถึง 80%
  • สายการผลิตใหม่ 10 (NT-10) แล้วเสร็จแล้ว 90% : ในปี 2553-2554 ที่ผ่านมากำลังการผลิตใหม่ สายการผลิต NT-9 เน้นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ ได้รับการตอบรับมากกว่าคาด ต้องผลิตเต็มกำลังการผลิต ทำให้ทาง DRT ต้องลงทุนสายการผลิตที่ 10 เพิ่มเติมด้วยเงินลงทุน 480 ล้านบาท เน้นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์เช่นเดียวกับสายการผลิตที่ 9 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต 72,000 ตัน จากปัจจุบัน 680,000 ตัน ปัจจุบันได้สร้างแล้วเสร็จ แล้วกว่า 90% คาดจะเริ่มทดสอบการผลิตได้ในเดือน พ.ค. 2555 นี้ และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือน มิ.ย. 2555 และ ไตรมาส 3/55 คาดจะใช้กำลังการผลิตได้เกือบเต็ม 100% เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีความต้องการที่สูง ทั้งในและต่างประเทศ โดยในปีนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 200-300 ล้านบาท และ ในปี 2556 จะเพิ่มยอดขายประมาณ 500 ล้านบาท
  • กำลังศึกษาเตรียมลงทุนเพิ่ม NT-11, NT-12 และ อิฐมวลเบาโรงที่ 2 : บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์พื้นลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปชั่ม และ บริการหลังการขาย โดยเป้าหมายของ DRT ต้องการที่จะกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากขึ้น ซึ่งในอดีตมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์หลังคาสูงถึง 80% ปัจจุบันได้ลดลงเหลือ 70% และ ในอนาคตจะลดลงอีกเหลือ60% ปัจจุบัน DRT ได้ลงทุนในโครงการอิฐมวลเบา มูลค่าลงทุน ค่าก่อสร้าง และซื้อเครื่องจักรประมาณ 595 ล้านบาท ในขณะที่ ที่ดิน ได้ซื้อไว้ก่อนหน้านี้เท่ากับ 117 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าโครงการ 712 ล้านบาท เงินลงทุนจะประกอบด้วย กระแสเงินสดภายใน 212 ล้านบาท และ กู้ยืมจากสถาบันการเงิน 500 ล้านบาท มีกำลังการผลิต140,000 ตันต่อปี คาดจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสสองปี 2556 และจะทำรายได้ประมาณ 300-500 ล้านบาทต่อปี คาดหวังอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 12-15% นอกจากนี้กำลังศึกษาเตรียมลงทุนเพิ่ม ผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ NT-11, NT-12 และ อิฐมวลเบาโรงที่ 2
  • แนวโน้มปี 2555 คาดยอดขายจะโต 12% และ กำไรพุ่ง 32% : แนวโน้มผลประกอบการของ DRT ในปี 2555 เราประเมินยอดขายจะสามารถขยายตัวได้เท่ากับ 12% สู่ระดับ 4,141 ล้านบาท โดยจะเป็นปริมาณขายเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% และ ราคาขายเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ NT-10 ที่จะเข้ามาประมาณกลางปี ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ จะช่วยเพิ่มยอดขายอีก 200-300 ล้านบาท บวกกับการขยายสาขาโมเดิร์นเทรด เช่น ไทวัสดุ และ GLOBAL ซึ่งจะไม่ขายสินค้าจากเครือซิเมนต์ไทย จะเอื้อประโยชน์ต่อ DRT ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าต้นทุนแรงงานจะปรับเพิ่มขึ้น แต่มีการปรับขึ้นราคา และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาระดับได้ เมื่อรวมกับภาษีที่จะปรับลดลงจาก 30% เหลือ 23% และ รายการพิเศษจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท จะทำให้กำไรของ DRT ในปี 2555 มีการเติบโตที่ดี ประมาณ 32% สู่ระดับ 607 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.59 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 564 ล้านบาท จากรายการพิเศษขายที่ดินได้กำไร 45 ล้านบาท
  • หุ้นปันผล แนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุน เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 7.1 บาท:
    DRTเป็นหุ้นประเภทปันผล โดยจะจ่ายปันผลปีละสองครั้ง เราประเมินจะจ่ายเงินปันผลในปี2555 เท่ากับ 0.46 บาท หรือ คิดเป็น เงินปันผลตอบแทน 7.6% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจเราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 7.1 บาท โดยเทียบกับฐานเงินปันผล 6.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย 6.7 บาท ดังนั้นเราแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล
  • สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Stock Focus,DRT,20.Apr.2012.,


    DRT (ซื้อ : ราคาเป้าหมาย 6.7 บาท) :

    Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

    - ผลประกอบการไตรมาส 1/54 คาดจะมีกำไรปกติที่โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดได้ใหม่ ถึง 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้มีกำไรจากการขายที่ดินประมาณ 45 ล้านบาท เมื่อรวมรายการพิเศษนี้จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 187 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.19 บาท) พุ่งขึ้น 120% จากไตรมาสก่อน และ 45% จากปีก่อน ผลประกอบการที่โดดเด่นดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากความต้องการ หลังคากระเบื้อง ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ต่างๆ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัด และ ได้แรงหนุนจากการส่งออกไปประเทศแถบเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และ พม่า ทำให้ยอดขายปรับตัวสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่เป็น 1,035 ล้านบาท (+20%qoq, +9%yoy) การผลิตในระดับ 90% ของกำลังการผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นปรับขึ้นมาเป็น 31.25% ใกล้เคียงปีก่อน 32% แม้ว่าต้นทุนในด้านต่างๆจะปรับตัวสูงขึ้น และ ปรับขึ้นจากไตรมาสสี่มากซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 29.3%

    - แนวโน้มปี 2555 ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายจะเติบโต 13% โดยจะได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ NT-10 ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายไตรมาส 2/55 นี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 300 ล้านบาท และ จะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท ในปี 2556 นอกจากนี้ คาดจะได้แรงหนุนจากตลาดส่งออกที่เพิ่มสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 3-4 ซึ่งเป็น ช่วงโลซีซั่นของตลาดในประเทศ จะผลักดันส่งออกมากขึ้น โดยปีนี้ตลาดส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12% จากปีก่อนประมาณ 10% และ ในอนาคตคาดจะปรับขึ้นเป็น 15%

    - การขยายตัวของร้านวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ อย่าง ไทวัสดุ และ GLOBAL ซึ่งปัจจุบัน DRT เป็นพันธมิตรในการส่งสินค้าให้ จะเป็นอีกช่องทางที่เพิ่มยอดขายให้ DRT โดยคาดสัดส่วนของร้านวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ จะเป็นขึ้นเป็น 7% ในปีนี้ จากปีก่อน 2-3%

    - ปัจจุบันสินค้าของ DRT กระจายครบวงจรมากขึ้น จากเดิมจะเน้นจะเฉพาะหลังคา โดยมีสินค้าต่างๆ คือ ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปชั่ม และ บริการหลังการขาย ร่วมมือกับ แฮดเลย์ กรุ๊ป จากอังกฤษ ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูป และ ธุรกิจผนังสำเร็จรูป Diamond Wall โดยในปี 2556 จะมีคอนกรีตมวลเบาเข้ามาเสริม ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 500-600 ล้านบาท ทำให้คาดสัดส่วนยอดขายผลิตหลังคาจะลดลงเหลือ 60% จาก ปัจจุบัน 70% และ เทียบกับในอดีตที่มีสัดส่วนสูงถึง 80%

    - DRT เป็นหุ้นประเภทปันผล โดยจะจ่ายปันผลปีละสองครั้ง เราคาดจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 0.43 บาท หรือ คิดเป็น เงินปันผลตอบแทน 7.3% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 6.7 บาท ดังนั้นเราแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุนรับปันผล
    Surachai Pramualcharoenkit

    Read more »

    Friday, April 20, 2012

    Stock News,ยอดการผลิตรถ,20.Apr.2012.,


    ผลิตและขายรถเดือนมี.ค.ทำสถิติสูงสุดใหม่

    เดือน มี.ค. มียอดผลิตรถยนต์พุ่งสูงถึง 190,935 คัน และ มียอดขายในประเทศ 110,928 คัน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าค่ายรถยนต์ Honda จะยังไม่กลับมาผลิต แนวโน้มปี 2555 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน หรือ เติบโต 44-47% สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศค่ายโตโยต้าประเมินจะสูงถึง 1.1 ล้านคัน เติบโต 38.5% คาดกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์จะได้ประโยชน์ จากการเติบโตสูงในอุตสาหกรรมรถยนต์ แนะนำ หุ้น AH (เป้าหมาย 15 บาท) , SAT (เป้าหมาย 30 บาท), STANLY (เป้าหมาย 200 บาท)

  • ยอดผลิตรถยนต์ทำสถิติสูงสุดใหม่ 190,935 คัน: กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2555 มีทั้งสิ้น 190,935 คัน สูงสุดนับตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ปี พ.ศ.2504 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.01% และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 13.5% สำหรับไตรมาส1/55 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ มีจำนวนทั้งสิ้น 499,560 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.52%
  • แนวโน้มไตรมาส 2/55 จะชะลอตัว : ส.อ.ท. ได้ประมาณการผลิตรถยนต์ในไตรมาส
    2/55 มีจำนวน 477,777 คัน เปรียบเทียบกับยอดผลิตจริง ไตรมาส 1/55 จะลดลง 4.36% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะพุ่งขึ้นถึง 39.85% เนื่องจากปีก่อนมีปัญหาสึนามิในญี่ปุ่น สำหรับแนวโน้มปี 2555 ประเมินยอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 2.1-2.3 ล้านคันเติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เพียง 1.46 ล้านคัน เนื่องจากปีก่อนถูกกระทบทั้งสึนามิในญี่ปุ่น และ ปัญหาน้ำท่วมในไทย

  • ตลาดรถยนต์ในประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 110,928 คัน โต 19.3% :
    สถิติการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ประจำเดือน มีนาคม 2555 มีปริมาณการขาย110,928 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 19.3% และ มากกว่าเดือนก่อน 21.48% ค่ายรถโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในเมืองไทยยังคงมีความต้องการอยู่อย่างมาก และ มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องจากค่ายรถยนต์ต่างๆ ด้วยการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ ตลอดจนนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย จะมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.1 ล้าน คัน เติบโตสูงถึง 38.5% ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยจะมียอดขายรถยนต์เกิน 1 ล้านคันต่อปี
  • คงมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้ :
    ตัวเลขยอดผลิตปัจจุบันค่ายรถยนต์ต่างๆได้กลับมาผลิตเต็ม 100% และ ยังบวกด้วยโอที เนื่องจากยังมียอดรถจองที่ค้างส่งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยค่ายรถยนต์ฮอนด้าที่เริ่มกลับมาผลิตปลายเดือน มีนาคม หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมในไตรมาสสี่ปีก่อน โดยแนวโน้มปี 2555 คาดค่ายรถยนต์ต่างๆจะกลับมาผลิตสูงกว่าระดับปกติ ทำให้คาดจะเติบโตโดดเด่น

  • นอกจากนี้เราคาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะยังได้แรงหนุนจาก นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อ และ ค่ายรถต่างๆมีการเปิดตัวรถอีโค-คาร์มากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆยังยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งออก ทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้จะเติบสูง โดยสถาบันยานยนต์ และ สภาอุตสาหกรรมประเมินยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2.1-2.3 ล้านคัน เติบโตสูงจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 1.46 ล้านคัน และ ค่ายโตโยต้าประเมินตลาดรถยนต์ในนี้จะพุ่งขึ้นถึง 1.1 ล้านคัน เติบโตถึง 38.5% สำหรับหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่เราศึกษา และ แนะนำ ซื้อ ได้แก่ AH(ราคาเป้าหมาย 15 บาท), SAT (ราคาเป้าหมาย 30 บาท) และ STANLY (ราคา เป้าหมาย 200 บาท) แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับขึ้นมารับข่าวด้านบวกค่อนข้างมาก นับตั้งแต่ต้นปี พุ่งขึ้นมา 23-37%

    สุรชัย ประมวลเจริญกิจ

    Read more »

    Wednesday, April 18, 2012

    Stock Focus,BSBM,18.Apr.2012., 14.22

    บทความ 2011 , บทความ 2012 , กรูหุ้น 1000 ล้าน,

    เซียนหุ้น 100 ล้าน , ข้อผิดพลาด 10 ข้อ ,


    ถ่าน" ทำให้ นาฬิกา "เดินไป" ... "กำลังใจ" ทำให้ คน"เดินต่อ

    BSBM (ถือ)

    Key Takeaway จากการพบผู้บริหาร

  • คาดผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะมีกำไรเพียง 1 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 1 ล้านบาท แต่แย่ลงมากจากปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 59 ล้านบาท เนื่องจากภาวะความต้องการเหล็กเส้นที่ค่อนข้างซบเซา ราคาขายอ่อนตัวลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ทรงตัว
  • สถานการณ์ยอดขายเหล็กเส้นในไตรมาสแรกไม่ได้ดีขึ้น ตามที่คาดหวังว่าจะได้อานิสงส์จากการบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม และ แม้ว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่น โดยปริมาณขายเหล็กเส้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 23,726 ตัน (+61%qoq, -35%yoy) ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับระดับกำลังการผลิต 720,000 ตัน ต่อปี หรือ คิดเป็น 180,000 ตันต่อไตรมาส
  • จากความต้องการที่ต่ำ ทำให้ราคาขายเหล็กเส้นเกรดทั่วไปอ่อนตัวลดลงเล็กน้อย โดยราคาขายเฉลี่ยประเมินจะอ่อนตัวลงเหลือ 22,800-22,900 บาท/ตัน จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสก่อนอยู่ที่ 23,000 บาท/ตัน ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ค่อนข้างทรงตัวที่ 640-650 เหรียญ/ตัน ทำให้สเปรด ระหว่างราคาขาย และ Billet อยู่ในระดับต่ำเพียง 2,933 บาท/ตัน ซึ่งเป็นระดับเพียงคุ้มทุนเท่านั้น
  • แนวโน้มในระยะใกล้ยังไม่มีสัญญาณกระเตื้องขึ้นมากนัก โดยความต้องการยังต่ำ และ ในไตรมาส 2/55 จะเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น ทำให้คาดหมายแนวโน้มผลประกอบการจะเพียงเป็นจุดคุ้มทุน หรือ มีกำไรเล็กน้อย จากราคาขายเฉลี่ยปัจจุบันปรับขึ้นจากไตรมาสแรกเล็กน้อย ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ค่อนข้างทรงตัวที่ 640-650 เหรียญ/ตัน
  • อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันที่ 1.30 บาท ซื้อขายบนการคาดหวังที่ต่ำอยู่แล้ว เพราะ ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นที่ 1.70 บาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ถือ
  • Read more »