ข้อคิดจากละคร
Learn From Drama
Nothing ventured nothing gained
ไม่กล้าไม่มีวันเดินหน้า
สวัสดีเพื่อนๆ วันก่อนในวันหยุดผมได้ดูหนังไทยเรื่อง หนึ่ง เดอะ เมโลดี ซึ่งในระหว่างที่ดูหนังไปนั้นทำให้ผมได้ข้อคิดหลายเรื่องจากเรื่องนี้ ก่อนอื่นผมขอเกริ่นนำ เรื่องสั้น และ ตัวละครเอก 2 คน คือ
1 พระเอก เป็นคนที่ร้องเพลง และ เล่นเปียนโนเก่งมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ เป็นนักร้องที่ดังมากในเมื่อโตขึ้นมา จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ความดังของเขา เริ่มลดลง ทำให้เขาทนไม่ได้ เขาจึงหนีจากเมืองกรุงไปที่ แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นสถานที่เงียบและอากาศ เย็นสบาย เพื่อไปพัก แต่ก็ไปเจอกับผู้หญิง คนหนึ่ง (นางเอก) และ กลุ่ม เด็ก ที่เป็นโรค รูคีเมีย ซึ่งเขาได้ทำกิจการร่วมกันกับเด็กๆ และ นางเอก คือไปเล่น รวมทั้งสอนเด็กๆ เหล่านั้น เหมือนกัน
2 นางเอก เป็นโรค รูคีเมีย มาตั้งแต่เด็ก เป็นคนชอบเล่นเปียนโน และมีความสามารถแต่งเพลงได้ แต่ดัวยความเจ็บปวดจาก โรค รวมทั้งจากการรักษาโรค ทำให้เธอไม่ต้องการมีชีวิต อยู่ต่อไป (เพราะว่าเธอต้องทนกับความเจ็บป่วยจากการรักษาโรคที่เป็นอยู่ และไม่มีเพื่อนเลยทำให้เธอไม่อยากทนเจ็บจากการรักษา อีกต่อไป แต่ด้วยจิตรใจที่ดีขอเธอซึ่งมีต่อ เด็กๆ ที่เป็นโรคเดียว เธอจึงมา เล่น และ สอน เปียนโนให้เด็กๆ ที่ ที่แม่ฮ่องสอน เช่นกัน
ทั้งสองเจอกัน ต่างคน ต่างเติมเต็ม ให้ อีกฝ่ายหนึ่ง
พระเอง มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายที่ พ่อแม่แยกทางกันครอบครัวไม่เคยอยู่กันครบหน้าเลย ยกเว้นตอนที่เขาแข่งขันเล่นเปียนโน ในตอนเด็ก เขาเองเลยคิดไปว่า ถ้าเขาเล่นเปียนโน เก่งๆ แล้ว พ่อแม่เขา จะกลับมารักกันอีกนางเอก ด้วยโรคที่เป็น และความเจ็บปวดที่รักษามาตั้งแต่ยังเด็กทำให้ ไม่มีเพื่อนเลย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่มี ความเห็นใจ แก่เด็กๆ ที่เป็นโรคเดียวกับเธอ
ทั้ง สอง เจอกันและได้เรียนรู้ว่า
พระเอก ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุด แต่ยังมีคนอีกมากมาย ที่ ลำบาก ไม่มีโอกาส และโชคร้ายกว่าเขาอีกมาก ซึ่งทำให้เขาได้พบกับ ผู้หญิงที่มีจิตรใจดี ก่อนให้เกิดความรัก
นางเอก การมีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามากขึ้น เพราะเธอได้เจอกับเพื่อนที่รู้ใจ รักเธอ อย่างจริงใจ เธอจึงอยากมีชีวิต อยู่กับคนที่เธอรัก และเพื่อดูความสำเร็จ และอยู่กับคนที่เธอรัก ไปนาน
โชคชะตา
ทั้งสองรักกันมาก แต่โรคร้าย ก็เหมีอน ระเบิดเวลา
ผมได้ชุกคิด และได้แง่คิดหลายๆ อย่างจาก เรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น
เวลา ใช่เป็นเรื่องที่หลายๆ คน รู้กันอยู่แล้ว ว่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่มักจะลืม หรือใส่ใจกับเวลาน้อยเกินไป สมมุติ ถ้าผมสามารถรู้ล่วงหน้าว่าตัวผมเองต้องจากไป ในอีก 2 วันข้างหน้า ผมจะต้องทำอะไรไว้บ้าง หรือจะฝากอะไรไว้ให้คนรุ่นต่อไปบ้าง แน่นอน ผมคงต้องทำ ทุกๆสิ่งอย่างให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะเตรียม ไว้ได้ และคิดได้ตามกรอบระยะเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด และ คุ้มค่าที่สุด พร้อมทั้งอยู่กับคนที่ผม อยากอยู่ด้วยให้นานที่สุดด้วย ก่อนจะลาจากไป แล้วผมขอถามว่า แล้วคุณละ ได้ทำอะไร ไว้บ้างหรือไม่ และคิดจะเตรียมการไว้มัย … ดังนั้น เรามาทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุข และใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะให้เป็น เพราะชีวิตคนเรานั้นไม่ยาวนาน เป็นหมื่นๆ ปีทุกอย่างมีขึ้นมีลง
เมื่อเวลาที่เรารู้สึกท้อ อ่อนแรง หมดกำลังใจ
เมื่อความรู้สึกแบบนี้เข้ามา หายใจเข้าลึกๆ แล้วจงบอกกับตัวเองว่า “เราเกิดมาเพื่อพบกับความสุข และความสำเร็จ” พยายามอย่ามองที่ความรู้สึกของตัวเอง มองดูคนอื่นๆ ที่ ลำบาก ขาดโอกาส ขาดแขลน กว่าเรา จริงๆ แล้ว บนโลกใบนี้ มีคนซึ่งลำบาก ขาดแขลน ขาดโอกาส สูญเสีย สิ่งที่รักมากไป มากกว่าเราเยอะ เราจึงไม่ควรจะมีความรู้สึกแบบนี้นานๆ เราจะไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ (ข้อคิดนี้ได้จากตอนหนึ่งของเรื่องที่ ตัวนางเอกเห็นพระเอก รู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวัง นางเอก ระหว่างการสนทนากัน นางเอกบอกว่า “คุณลองดูเด็กๆ ที่เป็นโรครูคีเมีย ดูซิ พวกเขา ต้องทนทุกข์ จากการเจ็บป่วย ทั้งยังขาดโอกาส ถ้าคุณมองไปรอบๆ ตัวคุณ จะเห็นว่า ยังมีคนที่เขา ขาดโอกาส และ ลำบากกว่าคุณอีกมาก”การเสียสละ
ขอเชิญร่วมทำบุญ วัดพระบาทน้ำพุ หรือ ที่อื่นๆ เมื่่อท่านมีำกำไรจากการลงทุนครับ
เพื่อเป็นการต่อบุญ ช่วยเหลือสังคม ทั้งยังเป็นการฝึกให้เราสามารถ พัฒนา การหากำไร
ให้ได้เพิ่มขึ้น แล้วนำมาทำบุญ ส่วน ลิงค์ สำหรับทำบุญอยู่ด้านล่างนี้เพื่อควารสะดวกครับ



